FictionYAOI - [KNB] - Akashi x Furihata >> love sweet blood ที่รักของนายแวมไพร์ [[ Chapter 0ึ7 ]]
Fiction YAOI
kuroko no basket
Akashi x Furihata
PG - 13
Chapter 07
By Yuhey
Chapter07
วันต่อมาที่ผ่านพ้นไปอีกเฉกเช่นเดิมท้องฟ้าที่ยังเป็นสีรัตติกาลแต่มีดวงจันทร์ส่องแสงทดแทนดวงอาทิตย์
เปลือกตาสีเนื้อที่ครอบดวงตาแวววาวสดใสค่อยๆเปิดออกขึ้นช้าๆสภาพแวดล้อมตรงหน้าที่เผยให้เห็นอย่างเด่นชัด
“หืม...อืม..” ฟุริฮาตะสลืมสลือขึ้นมาภาพครงหน้าที่มองเห็นเขาเห็นอาคาชินอนกอดเขาเอาไว้
“!!!” ฟุริฮาตะสะดุ้งโหยงใบหน้าขึ้นสีระเรื่อทันทีจะบอกว่าใบหน้าของพวกเขาอยู่ไกล้กันจนถึงขนาดได้ยินเสียงลมหายใจเข้าออกเป็นจังหวะของอีกฝ่าย
เป็นครั้งแรกที่ฟุริฮาตะได้มองหน้าของอาคาชิได้ไกล้ขนาดนี้ ผมที่นุ่มสลวยตัดกับสีผิวซีดที่ยิ่งขับให้สีผมดูเด่นขึ้นดวงตาเรียวเฉียงขึ้นขนตาที่งอนและยาวจมูกโด่งเป็นสันถัดจากนั้นริมฝีปากที่ได้รูปน่าสัมผัส
อึก..
ฟุริฮาตะกลืนน้ำลายชุดใหญ่ลงคอทันทีเขาสะบัดหัวไปมาเบาๆเล็กน้อยไล่ความคิดอันฟุ้งซ่านหน้าอายของตัวเองออกไป
หน้าสวยจังเลยน๊า... ไม่แพ้ผู้หญิงเลย..
ยิ่งพยายามไล่ความคิดฟุ้งซ่านนั้นออกไปแต่อาการเพ้อได้เข้ามาแทรกแทนที่มันเป็นเพียงอารมณ์ชั่ววูบจู่ๆไม่รู้ว่ามีอะไรมาดลใจเขารึเปล่ามือเรียวแตะที่ผิวแก้มของคนที่กำลังนอนหลับอยู่
“เย็น..”
เย็นเฉียบเหมือนเหล็กที่ผ่านการแช่แข็งมาแล้ว “แต่อบอุ่น..” ความรู้สึกประหลาดที่ดึงดูดเขาอยู่สายตาเคลิบเคลิ้มของเขามองอาคาชิเหมือนถูกต้องมนต์สะกด
ในเวลานั้นเองอาคาชิที่ความจริงเขาก็ตื่นขึ้นมาตั้งนานแล้วแต่แกล้งหลับเพื่อจุดประสงค์ในการแกล้งคนในอ้อมกอดด้วยความสุขสนุกส่วนตัว
“หืม...เจ้ากำลังทำอะไรอยู่น่ะ” เสียงนั้นทำทำให้สติที่ล่องลอยของฟุริฮาตะกลับเข้ามาอีกครั้งเขาสะดุ้งตกใจจนเผลอผลักอาคาชิออกห่างเขาด้วยอาการเก้อเขิน
“มะ..ไม่ใช่นะเอ่อคือ..” เขาต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการคิดหาคำแก้ตัว พอดีว่าบรรยากาศมันพาไป... แต่สุดท้ายก็ต้องกล้ำกลืนคำเหล่านั้นลงคอหอยไป
“หืม..เจ้าต้องการข้าสินะ”
“เอ๊ะ..”
อาคาชิแสยะยิ้มเล็กน้อยในตอนนั้นที่ฟุริฮาตะยังไม่ทันตั้งตัวก็ถูกช่วงชิงจูบไปลิ้นที่เกี่ยวตะหวัดไปมาอย่างชำนาญทำให้ฟุริฮาตะที่ด้อยประสบการณ์แทบจะเคลิบคลิ้มไปกับรสจูบที่อีกฝ่ายมอบมาให้
“อะแฮ่ม..” กิจกรรมของเขาต้องถูกหยุดลงเพราะเสียงกระเอมของเขาคนนั้นดังขึ้น
“อย่าทำอะไรที่น่าบัดสีที่บ้านของข้าสิ”
เขาทำถ้าทางกระเหนียบอายเล็กน้อยแล้วส่งสายตาสื่อบอกเป็นคำพูดว่า
เห็นในสิ่งที่ม่าน่าดูเข้าแล้วสินะเรา..
“ชิส์..” อาคาชิถอนจูบออกมาอย่างน่าเสียดายด้วยท่าทางที่ไม่พอใจ
แม้เขาเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันโดยปกติแล้วเขาจะเป็นคนที่รักษากฏระเบียบมารยาทของสังคมมาตลอดแต่ก็ไม่ปฏิเสธเลยว่าเขาอดไม่ได้ที่จะไม่แกล้งคนตรงหน้าทันทีบางอย่างในตัวของเขามันกำลังดึงดูดอาคาชิให้ถลำลึกเข้าไปอยู่ในนั้น
“เอ้ากินซะสิ..” ชายหนุ่มผมสีน้ำข้าววางถ้วยซุปร้อนๆหอมกรุ่นมาตรงหน้าพวกเขาสองคน
ฟุริฮาตะรับมาทานอย่างโดยดีในขณะอาคาชิที่ไม่แม้แต่จะแตะเลยด้วยซ้ำ
“คุณอาคาชิไม่กินเหรอ..ครับ”
ฟุริฮาตะทำตาปริบๆถามคนที่นั้งต๊ะอยู่ๆข้างด้วยสีหน้าที่ใสซื่อเหมือนเด็ก
“ข้ากินอาหารอย่างอื่นนองจากเลือดของมนุษย์ไม่ได้หรอก”
อาคาชิตอบเสียงเรียบมองค้อนย้อนไปหาฟุริฮาตะ “นะนั่นสินะ”
ฟุริฮาตะยิ้มแห้งๆเพิ่งรู้ตัวว่านี่อาจจะเป็นสิ่งที่ไม่ควรถามก็เป็นได้
“สรุปแล้วคนอย่างงพวกท่านข้าไม่เคยเห็นเลยไม่ทราบว่าพวกท่านกำลังมุ่งหน้าไปทานไหนไม่ทราบ”
หนุ่มผมสีน้ำข้าวเปิดปากเอ่ยถามแววตาหันเหมามองอาคาชิเพื่อต้องการคำตอบ “นครหลวงห่งเอสเรนส์เดล..ท่านพอจะตอบคำถามของข้าได้หรือไม่ว่าทางไปนครหลวงแห่งเอสเรนส์เดลนั้นไปทางไหน”
พอได้ฟังคำตอบแล้วเขากับต้องนิ่งไปอ้ำอึ้งอยู่นานกว่าจะขยับปากเอื้อนเอ่ยได้คล้ายกับมีสิ่งแปลกปลอมมาอุดลำคอเอาไว้
“ข้า..ข..ข้า..รู้แต่ข้าไม่สามารถนำทางพวกท่านไปได้” “ทำไมข้าขอทราบสาเหตุว่าทำไม..”
อาคาชิสร้างแรงกดดันพยายามให้อีกฝ่ายคลายคำตอบอกมา
“หึ..ที่แท้ท่านก็เป็นคนของนครหลวงแห่งเอสเรนส์เดลสีนะ..ไม่แปลกที่คนอย่างพวกท่านจะไม่รู้
ที่นี่เป็นเมืองสำหรับคนที่ถูกเนรเทศยังไงล่ะข้าที่แต่ก่อนเคยเป็นขุนนางที่สูงศักดิ์แต่ถูกถีบลงมาให้อยู่ในดินแดนที่ไกลแสนไกลขนาดนี้..”
หลังจากที่เขาพูดจบท่าทีของอาคาชิก็ยังไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิดแต่ท่าทีแววตาอันเศร้าสลดนั้นกับเป็นฝ่ายที่เป็นคนเล่าและฟุริฮาตะที่รู้สึกเห็นใจซะมากกว่า
“ข้าเองก็เคยได้ยินอยู่เหมือนกันแต่ไม่คิดว่าจะทุรกันดาลขนาดนี้” “ใช่ไหมล่ะ” ชายหนุ่มแสดงความคิดเห็น “แล้วท่านเมื่อไหร่จะบอกทางให้เราได้สักที”
อาคาชิยังไม่ยอมลดละความพยายามในการเค้นคำตอบจากอีกฝ่าย
“ดูเหมือนว่าข้าจำเป็นจะต้องบอกท่านสินะเนี่ย..”
เขาถอนหายใจแล้วกระดกน้ำไปทีหนึ่งแล้วก็เปล่งเสียงเอื้อนเอ่ยออกมาจนหมดเปลือกเพราะถูกจับได้ว่าตัวเองกำลังพยายามเลี่ยงคำถามอีกฝ่ายแต่ถูกจับได้ซะก่อนว่ากำลังพยายามปกปิดและบิดเบือนความทรงจำของตัวเอง
“ถ้าท่านต้องการทางลัดที่ไกล้ที่สุดต้องเดินผ่านป่า แอลร์
ที่เป็นแหล่งอาศัยของแวร์วูล์ฟแต่มีน้อยคนนักที่จะเดินผ่านเขตที่อาศัยของพวกมันเพราะสาเหตุที่ว่าพวกหมาป่าแวร์วูล์ฟเป็นปีศาจสุนัขหมาป่าที่อันธพาลชอบทำร้ายปีศาจอื่นที่เดินผ่านมาแล้วพอผ่านจากป่านั้นแล้วพวกท่านก็ต้องข้ามแม่น้ำแห่งวิญญาณ
แต่ต้องอาศัยเรือในการข้ามไปเท่านั้นถ้าว่ายไปตัวเปล่าหรือต่อให้ใช้ปีกบินข้ามพวกวิญญาณจากภพมนุษย์ก็จะดึงท่านลงสู่ห้วงนรกลงไปด้วย”
“แล้วจะข้ามไปได้ยังไงล่ะครับ..”
ฟุริฮาตะที่นั่งฟังตั้งนานโต้แย้งขึ้น
“อ่านะ..”
เขาเว้นช่วงคำพูดแล้วถอนหายใจยาวเป็นสายธารอากาศทำสีหน้าสุดเซ็งไม่เต็มใจมากนักในการเอ่ยชื่อคนที่ไม่อยากที่จะเอ่ยชื่อมากที่สุด
“เดี๋ยวจะมีนักพายเรือมารับ” สิ้นสุดการเล่าเรื่องเขาลุกเดินเข้าไปหาอะไรสักอย่างอยู่ในลิ้นชิกที่ทำจากไม้ของต้นสนสีขาว
“ดูเหมือนว่าเราจะได้ข้อมูลครบแล้ว..ฟุริฮาตะไปเถอะ”
มือที่เย็นเฉียบสีซีดจนเห็นเลือดฝาดชัดเจนที่อยู่ชั้นใต้ผิวหนังจูงมืออันอบอุ่นของมนุษย์อย่างเขาออกไป
“เดี๋ยวก่อนดิเฮ้ย!!!!” เสียงตะคอกดังขึ้นเพื่อเยื้อคนสองคนกำลังสาวเท้เดินออกไปจากบานประตูหน้าบ้าน
“มีอะไรงั้นเหรอครับ”อาคาชิชชายตามองเล็กน้อย
“แต่ก่อนที่นายจะไปนายจะต้องมีค่าผ่านทางให้กับนักเดินเรือด้วยเจ้านี่เอาสิ่งนี้ยื่นให้เจ้านั่นไปแล้วนายจะสามารถข้ามแม่น้ำไปอีกฝั่งหนึ่งได้”
ใบหน้าท่าทีไม่เต็มใจเหงื่อไหลคล้อยลงมาเต็มหน้าท่าทีเลิ่กลั่กอย่างมีพิรุธปากขยับกัดฟันกรอดเหมือนกำลังเก็บกดหรือแค้นเคืองอะไรบางอย่าง
ถึงแม้ว่าอาคาชิจะสังเกตเห็นก็ตามเขาเองก็มีมารยาทพอที่จะไม่สักถามละลับละล้วงความลับส่วนตัวของคนอื่นหรอก
“พิลึกชะมัด..” ฟุริอาตะทำหน้าเหยเกมองสิ่งของที่อยู่ในมืออาคาชิสลับกับคนตรงหน้าที่มอบหนังสือเล่มนี้ให้สาวน้อยน่ารักสุดเซ็กซี่สวมชุดชั้นในเผยเนินอกขาวในสีดำกับถุงน่องแบบสายระบายลุกไม้สุดยั่วยวนรันจวนใจ
“แค่เอาสิ่งนี้ไปมอบให้เขาใช่ไหมครับ”อาคาชิผู้เรียบเฉยสักถามออกไปส่วนชายหนุ่มเองก็ตอบสั้นๆห้วนๆใส่เขา”เออ..”
ชายหนุ่มกัดฟันพูดทั้งด้วยความเนียมอาย
ไม่รีรอพูดพลั้งทำเพลงปล่าขายาวก้าวเดินออกมาอย่างเร่งรีบฟุริฮาตะเดินไล่หลังตามมานัยน์ตาสีเฮเซลนัทชายตามองชายหนุ่มผมสีน้ำข้าวเมื่อครู่หนึ่งแล้วตะโกนออกไป
“ชื่อคือว่าคุณชื่อ...” “วากามัตสึ..” เสียงของชายหนุ่มตะโกนแทรกขึ้นมาโดยที่คำถามนั้นยังบอกไม่จบ
“ฟุริฮาตะ เช่นกันครับ”
เด็กหนุ่มอมยิ้มแล้วหันกลับไปมองแผ่นหลังอาคาชิกำลังยืนรอเขาอยู่แขนข้างถนัดยกขึ้นเหนือหัวโบกมืออำลาวากามัตสึเมื่อสักครู่หนึ่งดวงตาสีน้ำข้าวมองพวกเขาทั้งสองตลอดทางจนลับตาไป”ขอให้โชคดี”
รอยยิ้มปรากฏที่มุมปากของเขาประตูไม้เปิดออกร่างสูงโปร่งพาตัวเอาเข้าไปในประตู
“ปัง” ประตูบ้านได้ปิดลงไปทั้งไว้เพียงหิมะสีขาวกับลมพายุที่พัดหวิวๆอยู่ ณ บริเวณนี้
.......................................................................
ในป่าที่มีทุกอย่างเป็นสีดำทึบไม่ว่าจะเป็นน้ำในลำธารต้นไม้หรือแม้กระทั่งสีของพื้นดิน “ป่าแห่งความมืด”
อาคาชิพึมพำออกมาฟุริฮาตะเดินแนบชิดเขาแน่นมือกุมผ้าคลุมที่อาคาชิมอบให้คลุมเอาไว้แน่นหนา
น..น่ากลัวแบบนี้จะมีอะไรโผล่มาไหมนะ
ด้วยความที่ฟุริฮาตะเป็นคนขี้ระแวงการที่จะต้องกลัวสถานที่ๆไม่คุ้นเคยแถมบวกด้วยกับบรรยากาศที่ชวนวังเวงโดยรอบอย่างผิดปกติ
ร่างบางสั่นเทาด้วยความกลัวบวกความระแวดระวังที่มีมากไปจนเกินเหตุ
“ฟุริฮาตะเจ้าจะกำมือข้าจนแหลกละเอียดเลยรึยังไงกัน” อาคาชิส่งสายตาดุใส่เขา
เด็กหนุ่มที่พึ่งจะรู้ตัวว่าตัวเองทำผิดอะไรก็รีบขอโทษขอโพยยกใหญ่
หากแต่ในระหว่างนั้นเองมีลมโชยวูบมาระยะหนึ่งตามด้วยเสียงกระเด็นของน้ำเหมือนมีวัตถุขนาดหนักหล่นกระทบผิวน้ำแล้วจมหายไปจากน้ำสีดำที่แพรวประกายเมื่อต้องแสงจันทร์กลับมีสีขุ่นๆสีดำของดินลอยคละเคล้าปนเปกับน้ำจนแยกไม่ออกเลยว่าอะไรคือสีของน้ำอะไรคือสีของดินก้อนกรวดกลิ้งหลุนๆไปอย่างเชื่องช้าและกระเด็นไปมาด้วยแรงแตะของรองเท้าบู๊ธหนังสีดำเสียงของฝีเท้าที่กระทบผืนดินนั้นแผ่วเบา
ดวงตาของสัตว์ที่กำลังจับจ้องเข้ามาริมฝีปากซีดแสยะยิ้มลิ้นสากๆสีระเรื่อแลบแผล็บริมฝีปากบนก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นเสียงหัวเราะในลำคอ
“อา...มีนักเดินทางผู้โชคร้ายเดินหลงเข้ามาด้วยละเว้ย..หึหึ”
เสียงปริศนานั้นพึมพำออกมาอย่างแผ่วเบา
“ฟุริฮาตะอย่าออกห่างจากข้าเป็นอันเด็ดขาด”
อาคาชิคว้าตัวของเด็กชายร่างผมบางเข้าแนบชิดกับหน้าอกในอ้อมกอด ดวงตาสีทับทิมกลอกตามองไปรอบๆบริเวณอย่างระมัดระวังกับภัยอันตรายที่เข้ามาเยือนไกล้ๆความฉงนงงตามฉบับคนซื่อกับความตกใจที่ยังไม่หาย
ฟุริฮาตะทำหน้าเอ๋อไม่รู้อีโหน่อีเหน่
“มันเกิดอะไรขึ้น..อุ๊บ..”
ฟุริฮาตะเงยหน้าพยายามที่จะถามถึงพฤติกรรมผิดแปลกของเขาอาคาชิกดหัวของเรือนผมสีน้ำตาลเอาไว้แนบอกทำให้เขาพูดไม่ค่อยสะดวกเท่าที่ควร
เสียงหัวใจเต้นที่ดังผิดปกติของอาคาชิทำให้ฟุริฮาตะหวั่นไหวใบหน้าละอ่อนขึ้นสีระเรื่อแดงแปร๊ดเหมือนมะเขือเทศใบหน้าร้อนผ่าวเลือดในหัวใจสูบฉีด ความรู้สึกนี้มันคืออะไรกัน ฟุริฮาตะคนซื่อถามตัวของเขาเอง
ราวกับฝูงผีเสื้อที่กระพือปีกอยู่ในช่องท้องความรู้สึกอึดอัดที่ไหลจากบั้นเอวมาถึงลำคอ
หัวใจเต้นไม่เป็นสำจะถลำออกมานอกอก “คะ..คุณอาคาชิ”
แซ่ก... แซ่ก
พุ่มไม้สีดำสั่นไหวรัวๆแปลกๆผิดธรรมชาติแสงจากดวงจันทร์ผ่านพ้นเมฆบนท้องฟ้าแสดแสงลงมายังพื้นดินพร้อมกันนั้น
มีเสียงหัวเราะๆคิกคักดังอกมาตามสายลมอ่อนๆที่พัดโชยมา “หึหึ..กำลังพลอดรักกันรึยังไง”
เสียงปริศนาที่ดังอยู่ไกล้ๆนี้เอง
อาคาชิชายตามองด้วยสายตาที่เลือดเย็นพร้อมกระชับคนในอ้อมกอดให้แน่นขึ้นซะจนต้องทำให้คนในวงแขนต้องท้วงทัก
“คุณ..อาคาชิ.ผ..ผมหันใจไม่ออก” อาคาชิคลายวงแขนลง
“แก..อยู่ที่ในกันแน่คนขี้ขลาดข้ารู้ว่าแกต้องหลบอยู่ไกล้ๆนี่แน่นอน”
สิ้นเสียงคำพูดเชิงถากถางของเขาแล้วไม่ต้องรีรอเลยที่จะต้องหลบซ่อนให้ยากร่างเงาดำๆของสิ่งมีชิวิตปริศนากระโจนจากพุ่มไม้ที่เป็นแหล่งหลบซ่อนออกมารวดเดียวหวังจะทำร้ายอาคาชิ
ปีกค้างคาวขนาดใหญ่กระพือออกอย่างรวดเร็วพร้อมกับการหลบด้วยความเร็วแสงในขณะทั้งๆที่เขากำลังกอดฟุริฮาตะเอาไว้อยู่
สิ่งมีชิวิตบางอย่างวิ่งวนลูปซิกแซกล้อมอาคาชิที่อยู่เหนืออากาศปรากฏอออกมาเป็นรูปร่าง
ร่างสูงโปร่งสวมชุดสีดำทั้งชุดอันเก่าและขาดเวิ่นใบหูของสัตว์ที่คล้ายกับใบหูของหมาป่าที่ติดกับศีรษะบริเวณสะโพกมีหางยาวสีดำแววตาสีอำพันฉายแววดุร้ายกรงเล็บสีดำอันแหลมคมพร้อมที่จะฉีกกระแชกเหยื่อได้ทุกเมื่อ
“พวกแก...แวร์วูฟร์ สินะ “ อาคาชิพำพึมกับตัวเอง
เพียงแค่ไม่กี่วินาทีอาคาชิที่เป็นถึงว่าที่ราชาของปีศาจได้ถูกจนมุมไปที่เรียบร้อยแล้ว เหล่าอมนุษย์หมาป่าเริ่มเปิดม่านฉากโจมตีด้วยความรวดเร็วในชนิดที่อาคาชิมองตามแทบไม่ทัน
บาดแผลน้อยใหญ่โลหิตสีแดงที่ไหลออกมาเป็นหย่อมๆค่อยๆฉาบโลมไปยังร่างทระนงทรงศักดิ์ของชายหนุ่มว่าที่ราชาปีศาจไปอย่างช้าๆ
กลิ่นคาวเลือดที่คละคลุ้งอยู่ตามร่างกายของอาคาชิ
คือสิ่งแรกที่ฟุริฮาตะสัมผัสและรับรู้ได้ถึงแม้จะถูกกอดอยู่ก็ตาม
เขาพยายามปกป้องเรามาตลอด
เขาพยายามช่วยเหลือเรามาตลอดในยามเดือดร้อน
เราได้ทำอะไรเพื่อเขาบ้างไหมนะ..
ฟุริฮาตะครุ่นคิดกับตัวเองอยู่ในใจ
จริงๆแล้วเรามีอะไรพอที่จะช่วยเขาได้บ้างไหมนะ
เด็กหนุ่มรู้สึกสำนึกระลึกถึงประโยชน์ของตนเองขึ้นมาได้ความทรงจำเกี่ยวกับเวทย์มนต์ที่เขาเคยร่ำเรียนมาเพียงไม่กี่อาทิตย์ผุดขึ้นมา
คาถารักษาพยาบาล คาถาน้ำ คาถาเรียกไฟ คาถาเรียกลม คาถาเรียกสัตว์เทพวิหคเพลิง
“คาถาเรียกสัตว์เทพวิหคเพลิง”
แต่จะทำได้ไหมนะ จะทำได้ไหมนะ
เขาคิดอยู่เมื่อครู่พร้อมกับปากที่ขยับพึมพำท่องคาถาในช่วงเวลาเพียงอึดเดียวเสียงร้องดังก้องสนั่นพื้นพิภพเปลวเพลิงที่สั่นไหวแปรสภาพเปลี่ยนรูปร่างเหมือนกับนกปีกสีเพลิงพลันพือสะบัดลอยลิ่วไปมาจนกระทั่งเห็นเจ้าของๆมันที่เรียกมันออกมาก็บินร่อนลงมาหา
“วิหคเพลิง..” ฟุริฮาจตะออกจากอ้อมกอดของชายหนุ่มแล้วเดินเข้าไปหาเจ้าวิหคเพลิงรูปร่างของนกได้ผลันเปลี่ยนเป็นธนูให้กับเขา
“ฟุริฮาตะนี่เจ้า..”อาคาที่หันเหสายตาไปมองด้วยความแปลกใจจนไม่ทันระวังการโจมตีหมู่ของหมาป่าอันธพาลสีดำแวร์วูล์ฟทำให้ร่างกายของเขาถึงกับทรุดเข่าติดพื้น
“คุณอาคาชิ!!!!” ฟุริฮาตะแผดเสียงดังลั่นน้ำตาลสีใสคลอเบ้าตาเล็กน้อยความกังวลและอาการแสดงความเป็นห่วงออกมาทางสีหน้าของเขา
“ไอ้หนูแกมองไปทางไหนของแกกันฮ่าๆๆ”
เสียงระเบิดหัวเราะดังออกมาได้ความสะใจด้วยความทนงค์อย่างเต็มเปี่ยมในการรอคอยถึงชัยชนะอันไกล้นี้
พร้อมความเร็วของหมัดหนักกระทบใบหน้าข้างขวาของเด็กหนุ่มเต็มแรงร่างบางกระเด็นติดกับต้นไม้ที่อยู่ห่างจากเขาไปเพียงหนึ่งเมตร
“อั่ก...” “แค่กๆๆๆ”
อาการเจ็บหลังบวกกับอาการจุกเสียดจนถึงขึ้นสำรอกน้ำออกมาตามด้วยเสียงไอแค่กเป็นระยะๆทัศนียภาพเริ่มเบลอบลาเหมือนมีอะไรมาบังการมองเห็นของเขาเอาไว้
จะร้องไห้ตอนนี้ไม่ได้นะ...ต้องช่วยคุณอาคาชิ..เพราะถ้าไม่ทำอะไรสักอย่างละก็คุณอาคาชิ..คุณอาคาชิก็จะ..
ภาพในอดีตเริ่มเข้ามาก่อกวนอย่างจงใจเหมือนฉายหนังซ้ำภาพของคุณพ่อที่โชกไปด้วยเลือดของตัวเองและเสียงร่ำไห้ของคุณแม่อยู่กลางสายฝนกับเขาเพียงลำพังสองคนโดยไม่มีใครผ่านมาช่วยได้
..
โถ่เอ้ย..แข้มแข็งเอาไว้สิโคคิ ฉันเป็นถึง เอ็กเซอร์ซิสต์เชียวนะ ขาอันอ่อนเปรี้ยพยายามประคองตัวลุกขึ้นแล้วเดินอย่างสะเปะสเปอะเหมือนคนเมาพร้อมที่จะเสียการทรงตัวได้ทุกเมื่อ
“ฟุริฮาตะหนีไปซะลำพังคนอย่างเจ้าไม่สามารถต่อสู้กับพวกมันได้หรอก..”
อาคาชิที่เหนื่อยอ่อนจนไม่สามารถลุกได้อีกแล้วตะเบ็งเสียงออกคำสั่งฟุริฮาตะ
น้ำตาที่เอ้อล้นปริ่มออกมาจากเบ้าตาจนเต็มที่เตรียมพร้อมปล่อยหยาดน้ำแห่งความเศร้าไหลออกมา
เขากัดฝันกรอดด้วยสีหน้าที่เจ็บปวดเท่าที่เขาเคยแสดงออกมา
“จะให้ผมหนีไปโดยทิ้งให้คุณที่ป็นคนสำคัญที่สุดของผมต้องตายอยู่แบบนี้งั้นเหรอครับ!!!!”
ฟุริฮาตะกัดฟันพูดออกมาด้วยเสียงสั่นมือเรียวบางยกขึ้นปาดน้ำตา
“จงแข้มแข็งเข้าไว้โคคิลูกผู้ชายน่ะเวลาต่อสู้เขาจะไม่หันหสังให้สนามรบเด็ดขาดน่ะรู้ไหมเพราะอะไรน่ะเหรอการหันหลังให้สนามรบก็เท่ากับการยอมจำนนให้ศัตรูนั่นแหล่ะ
พระงั้นการต่อสู้ในสนามรบไม่มีคำว่าขอยอมแพ้โดยเด็ดขาด”
พี่ครับ..
ปลายของลูกศรเพลิงที่พุ่งออกไปด้วยความเร็วแสงเพียงแค่ไม่ถึงวินาทีจากลูกครธนไฟขนาดใหญ่อันเดียวก็แตกย่อยออกไปเป็นสิบพุ่งเข้าไปที่เป้าหมายจัดการเผา
“อ้ากกกกกกกกกก” เสียงร้องอันโหยหวนด้วยความทรมานจากเปลวเพลิงลูกศรของฤทธิ์ลูกศรธนูไฟของฟุริฮาตะ
อาคาชิ
และหัวหน้าของจ่าฝูงกลุ่มหมาป่าแวร์วูล์ฟอันธพาลต่างพากันยืนนิ่งตกตะลึงกับสิ่งที่เห็น
จากใบหน้าที่เต็มไปด้วยความขี้ขลาดขี้ระแวงใจเสาะต่อสู้ไม่เป็น
แต่หากในตอนนี้กลับแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง…ในตอนนี้เต็มไปด้วยความอาจหาญ ชาญชัย
ไร้ซึ่งความหวั่นเกรงและหวั่นไหวต่อศัตรู..
เจ้ากำลังเติบโตขึ้น...ใช่ไหมฟุริฮาตะ..ในฐานะผู้ชายคนหนึ่งที่ข้าเฝ้ามองเจ้ามาตลอด..คนที่ข้าตามหามานาน
ลูกศรธนูแห่งเปลวเพลิงถูกยิงออกไปอย่างไม่ยั้งโดยไม่มีท่าทีจะหมด
ไฟโมฆะเดือดพล่านประกายไฟแห่งความแค้นเข้ามาสมทบหัวหน้าจ่าฝูงของแวร์วูล์ฟทนไม่ได้ที่จะต้องเห็นลูกน้องของตนเองจะต้องตายไปทีละคนๆ
ความเร็วและสติปัญญาอันชาญฉลาดพร้อมกับความว่องไวอันเป็นเลิศเคลื่อนไหวหวังจะปลิดชีพของเด็กหนุ่มอย่างทันทีเขาอาศัยในตอนที่ฟุริฮาตะเผลอไปอยู่ด้านหลังกรงเล็บอันแหลมคมงอกออกมาจากเล็บมือเตรียมพร้อมที่จะฆ่าแต่น่าเสียดายที่ช้าเพราะไหวพริบลางสังหรณ์ของแวมไพร์นั้นว่องไวกว่าอาคาชิใช้แรงเฮือกสุดท้ายยันกายลุกขึ้นแล้วเอาตัวกำบังฟุริฮาตะไว้จากด้านหลังเสี้ยวนาทีในตอนนั้นกรงเล็บแหลมทั้งห้านิ้วก็เฉือนลงบนผิวหนังของแวมไพร์หนุ่มเข้าอย่างจังเลือดสีแดงเข้มพลันไหลกระฉูดออกมาอย่างบ้าคลั่ง
“อาคาชิ!!!!!!!!!”
ฟุริฮาติขึ้นเสียงด้วยความหวั่นวิตกแต่หากความโกรธเข้ามาแทรกอย่างเต็มที่
เด็กหนุ้มหันธนูเขาเตรงกลางหน้าแล้วยิงศรออกไปยิงหัวหน้าจ่าฝูงไปอย่างรวดเร็วและก็เป็นโชคดีของหมาป่าอันธพาลอย่างเขาสิ่งที่ฟุริฮาตะเล็งไว้ไม่ใช่หน้าผากกลางศีรษะแต่เป็นแขนทั้งสองข้างในตอนนี้มากำลังแผดเผาแขนของชายหนุ่ม
“อ้ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก....”
เสียงคำรามออกมาด้วยความเจ็บปวดทรมานของหัวหน้าฝูงแวร์วูล์ฟ
เหล่าลูกสมุนที่เหลือเมื่อได้ยินเสียงร้องคำรามที่เป็นลางว่าจะเกิดอันตรายว่าจะเกิดอันตรายต่อผู้เป็นนายของตนจึงรีบวิ่งมาพร้อมประคองร่างของหัวหน้าออกไปอย่างรวดเร็ว
“ฮานามิยะ..อย่าเป็นอะไรไปนะเว้ยเจ้าบ้า..”
เสียงตะคอกของลูกสมุนคนหนึ่งดังขึ้นมาในระหว่างโอบร่างผู้เป็นนายกลับไปรักษา
ฟุริฮาตะที่เหลือบมองด้วยหางตาเล็กน้อยก่อนจะมาหยุดอยู่ที่ร่างของคนที่อยู่ตรงหน้านอนแน่นิ่งไม่ไหวติงไม่แม้แต่จะขยับเขยื่อนไปไหน
“ฟุ...ริ..ฮาตะ”เสียงสั่นๆอันแผ่วเบาเอ่ยเรียกชื่อของเด็กหนุ่ม
“คุณอาคาชิ..อย่าเป็นอะไรไปนะครับได้โปรดขอร้องล่ะช่วยทนหน่อยเถอะผมจะไปตามคนมาช่วย!!!!!”
ฟุริฮาตะเริ่มหวั่นวิตกพร้อมกับความกังวลปนห่วงและความกลัวถ่าโถมเข้ามาภายในจิตใจ
“อย่า...เลย..ฟุริ..ไม่..ม..มี..ใครช่วยหรอก”
เสียงนั้นเสียงของราชาปีศาจเริ่มอ่อนลงและแหบพร่า
“ไม่..เอา..ผมไม่อยากให้คุณอาคาชิ..”
คำพูดที่ขาดห้วงเหมือนมีอะไรมาอุดที่หลอดลมไม่ให้เขาพูดคำนั้นออกมาอาการแปลกๆที่เขาสัมผัสได้มาก่อนหน้านั้นก็เริ่มตีตึ้นขึ้นมาอยู่ในอกภายในหัวใจของเขาราวกับโซ่หนามที่เข้ามาบัดรัดมันทั้งจุกและเจ็บจนแทบขาดจนห้ามอารมณ์ห้ามใจเอาไว้ไม่อยู่
“ฮึก..”
เสียงสะอึ้นที่แปรผันมาเป็นเสียงร่ำไห้ด้วยความโศกเศร้าขอบตาร้อนผ่าวนำพาหยาดน้ำตาแห่งความเสียใจมาให้
เขาไม่สามมารถเก็บความรู้สึกเอาไว้อยู่ได้มันไหลทะลักออกมาเหมือนน้ำลำธารที่ไหลเชี่ยวกราดอย่างบ้าคลั่นจนไม่สามารถยับยั้งเอาไว้ได้
อาคาชิเองก็เช่นกันใบหน้าที่เรียบเฉยที่ตอนนี้ยิ้มออกมาด้วยรอยยิ้มที่เศร้ามัวหมองนิ้วหัวแม่มือเอาขาวซีดปาดเช็ดน้ำตาของร่างบางที่กำลังร้องไห้พร้อมคำพูดที่ว่า “ไม่เป็นไร..ฟุริ...ตะ..อย่าร้องไห้..”
เขาพูดปลอบโยนแต่ก็ไม่สามารถทำให้เด็กหนุ่มหายเศร้าได้ “ผม..ผม..ผม”
ความกระอักกระอวนที่จุกอยู่ในอกทำให้เขาพูดต่อไปได้อย่างยากลำบาก “จูบ..ฉันหน่อยได้ไหม..ฟุริฮาตะ..โคดิ..แค่กๆๆ”
เขายิ้มทั้งไอออกมาเป็นเลือด
“ถ้ามันทำให้คุณหายดีผมก็จะทำ..”
ฟุริฮาตะหันหน้ามามองเขาแล้วยิ้มทั้งน้ำตาที่อาบไหลในตอนนี้ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนหยุดนิ่งพร้อมกับในใจที่ภาวนาขอให้อาคาชิกลับมาเป็นปกติเหมือนเดิม
ฉันต้องการพลัง...มากว่านี้...
ขอร้องล่ะคนสำคัญของฉันกำลังจะตาย.. [เจ้าขอพลังสิ่งใด]
ผมขอพลังในการรักษาเขาผมอยากให้เขามีชีวิตอยู่ได้โปรดเทพีแห่งสวรรค์..[ถ้านั่นเป็นสิ่งที่เจ้าประสงค์ด้วยๆใจจริงๆข้าก็จะให้]
ริมฝีปากสีพีชทาบลงบนริมฝีปากที่เย็นเฉียบจากสัมผัสแรกที่เบาบางอ่อนโยนเริ่มรุกคืบหนักขึ้นมาปลายลิ้นเหนี่ยวเกี่ยวตระหวัดของกันและกันดูดดื่มกันอย่างเร่าร้อนลมหายใจถี่หอบหนักๆ
“อื้อ...อื้ม..แฮ่กๆๆ” ฟุริฮาตะพยายามหอบเอาอากาศหายใจเอาเข้ามาในปอดให้มากที่สุด “อื้ม..ผมไม่..”
อาคาชิเห็นว่าอีกฝ่ายเริ่มทนไม่ไหวจึงถอนจบออกมาอย่างน่าเสียดายพร้อมกลับความเจ็บปวดจากบาดแผลที่รู้สึกเจ็บหายเป็นปลิดทิ้ง
แต่ความง่วงกลับเข้ามาครอบงำแทนที่แล้วสลบไปใน ณ จุดนี้เอง..
..................................................................
“เอาล่ะพวกนายได้เวลาลาทานอาหารกันได้แล้วนะ”
ชายหนุ่มปริศนากับการแต่งตัวประหลาดถือถาดอาหารน่าตาน่ากินกับมาวางอยู่บนโต๊ะไม้โอ็กกลม
“โห..น่าอร่อยจังเลยว่าไหมครับรุ่มพี่คาซามัสสึ”
คิเสะทำตาวาวเหมือนเด็กน้อยที่เพิ่งได้ของเล่นที่ถูกใจมาได้ “หืมอืมก็น่ากิน”
เขาเออออตามน้ำไปกับคิเสะเท่านั้นเอง
“ง่ำ..อาอ่อย(อร่อย)”คากามิเปิดศึกกินก่อนเป็นคนแรกทุกคนได้เห็นเช่นนั้นจึงไว้วางใจว่าไม่มีสิ่งปนเปื้อนใดๆอยู่ในอาหารจานนี้อย่างแน่นอนจึงลงมือพากันรับประทานอาหารกินกันอย่างอิ่มหนำสำราญ
“แล้วเรื่องของฟุริฮาตะคุงล่ะครับจะเอายังไงดี”
คุโรโกะที่ปกติจะนิ่งๆเงียบๆโดยเป็นปกติอยู่แล้วพร้อมกับหน้านิ่งๆที่เป็นบุคลิกของเจ้าตัวทำสีหน้าเคร่งเครียดอย่างมากหลายวันมานี้ไม่มีครั้งไหนเลยที่คุโรโกะจะไม่พูดถึงเขา
“หืม..คุโรโกะคุงเป็นห่วงขนาดนั้นเลยงั้นเหรอ”
ชายหนุ่มผู้แต่งตัวประหลาดนามว่าโคยิ้มกรุ้มกริ่ม
“เพราะว่าเขาเป็นคนสำคัญหรับพวกเรายังไงล่ะครับ”
คุโรโกะมองหน้าเขาด้วยสีหน้าไม่เปลี่ยนไปจากเดิมเลยแม้แต่น้อยในขณะที่พูด
“วางใจเถอะยังไงเขาก็ต้องปลอดภัยแน่ๆไม่ต้องเป็นห่วง”เขาใช้มือตบไหล่คุโรโกะเบาๆเป็นการปลอบ”นั่นสินะครับ”
สีหน้าอมทุกข์ได้หายไปแล้วทุกครั้งที่คุโรโกะรู้สึกกังวลใจและเป็นห่วงฟุริฮาตะในเรื่องการหายตัวไปของเขาโคก็มักจะปลอดเขาอย่างนี้เสมอ
“เอาล่ะเพื่อที่จะให้นายสบายอกสบายใจฉันอยากพานายไปในที่ๆหนึ่งน้ำพุที่อยู่หลังบ้านของฉันเอง”
ชายหนุ่มสวมแว่นหนาเต๊อะออกปากชวนคุโรโกะลังเลไปเมื่อครู่ก่อนจะหันไปมองคากามิที่นั่งตาจ้องมองเขาเขม็งทั้งที่เขากำลังกินเข้ายัดเข้าปากเคี้ยวแก้มตุ่ยเหมือนเด็กๆ
“คากามิคุงไปด้วยกันไหมครับ”
คุโรโกะออกปากชวนคากามิเพราะเกรงว่าเจ้าตัวจะงอนเขาแล้วการง้อก็คงไม่จบให้แค่คำพูดแน่นอน
“ในไปไหนฉันก็ไปหมดนั้นแหล่ะเจ้าบ้า”
คากามิทำหน้าบึ้งแล้วยืนแนบชิดสนิทตัวของคุโรโกะโดยไม่ห่างไปไหน
น้ำพุสีชมพูอ่อนกลิ่นดอกไม้ที่ไหลพรั่งพลูออกมาจากโพรงไม้
“กลิ่นหอมจัง” คุโรโกะดูสีหน้าผ่อนคลายลง
“เห็นไหมว่าแล้วสบายใจขึ้นเยอะเลยใช่ไหมล่ะ”
“นั้นสินะครับ” คุโรโกะเออออไปโดยเกรงว่าจะถูกถามขึ้นมาอีก
แต่ในใจลึกๆแล้วก็ยังเป็นห่วงฟุริฮาตะอยู่
.................................................................................................................................................................................
ปีกสีขาวนวลละเอียดปริสุทธิ์กำลังโอบร่างของอาคาชิเอาไว้แน่นฟุริฮาตะบินเหินอยู่บนอากาศความเวิ้งว้างของท้องฟ้ายามค่ำคืนที่ไม่มีดวงจันทร์ทำให้การเดินทางหรือบินขึ้นไปบนอากาศเต็มไปด้วยความยากลำบากและไม่สะดวกนัก
เด็กหนุ่มที่บินอยู่กลางอากาศมุ่งหน้าไปทางเหนือเขามองลงมายังพื้นเบื้องล่างก็พบถ้ำปริศนาที่อยู่บนหุบเขาสีเขียวเขาตัดสินใจแล้วว่าจะนอนพักค้างแรมอยู่ที่นี่ชั่วคราวเพื่อรอให้อาคาชิหายดีก่อนถึงจะออกเดินทางครั้งต่อไป
เปลวไฟสีส้มที่ถูกจูดใส่คบเพลิงโดยใช้ไฟของวิหคเพลิงในการจูดไฟขึ้นมา
ใบหน้าซีดขาวนอนแน่นิ่งไม่ไหวติงใบหน้าที่เรียบนิ่งเย็นชาบางครั้งก็ทำหน้าขึงขังจนหน้ากลัว
รูปโครงใบหน้าที่ถอดแบบออกมาสวยอย่างไร้ที่ติกับใบหน้าหล่อเหลาคมคายดวงตาที่เฉียบคมและเจ้าเล่ห์มีเสน่ห์สามารถสะกดหัวใจของเขาเอาไว้ได้อยู่หมัด
คิดดูแล้วก็หล่อดีนะ.... เขาคิดในใจพร้อมตบหน้าตัวเองเพื่อไล่ความคิดอันฟุ้งซ่านของตัวเองออกไป
หลังากเวลาผ่านไปร่วมหลายนาทีเด็กหนุ่มก็มิได้ข่มตาหลับลงได้เลยแม้แต่อย่างใดท้าที่สุดเล้วเขาลุกขึ้นมาแล้วเดินออกมายังปากถ้ำพร้อมทั้งท่องคาถาแห่งปีกบินร่อนลงมายังน้ำลำธารใสอาการคอแห้งที่หลังจากตื่นนอนยังคงอยู่รู้สึกได้มือเรียวทั้งสองติดกันแล้วหอบน้ำขึ้นมาดื่มอย่างกระหาย
จากนั้นก็บินกลับขึ้นไปด้วยความสะเพร่าที่ยังแก้ไม่หายทำให้มือไปครูดกับกิ่งต้นไม้ได้แผลที่มือกลับขึ้นมาโดยไม่ทันสังเกตและไม่รู้สึกตัวเลย
กลิ่นคาวเลือดอ่อนๆโชยมาแตะจมูกของแวมไพร์หนุ่มร่างกายที่แน่นิ่งพลันสั่นสะท้านด้วยความกระหาย
“คุณอาคาชิ”
ฟุริฮาตะเอ่ยชื่อเขาเมื่อนเห็นปฏิกิริยาในการขยับเขยื่อนร่างกายเกิดขึ้น
ดวงตาสีทับทิมปรือตาออกมาเล็กน้อยแล้วหันมามองคนที่นั่งอิงผนังถ้ำด้วยความอาลัยอาวรณ์
มือบางกำลังจะเอื้อมสัมผัสร่างของเขาแต่อาคาชิเลือกที่จะปัดมือนั้นออกห่าง
“อย่าแตะตัวข้าฟุริ..ฮ..ตะ”
ความงุงงงปรากฎอยู่บนใบหน้าของเด็กหนุ่มหลังจากที่เห็นท่าทีแปลกๆของอาคาชิที่แสดงต่อเขา
“เป็นอะไรไปอย่างงั้นเหรอคุณอาคาชิ” สายตาท่าทีคามเป็นห่วงที่แสดงออกมาจากคำพูดของเขา
“เจ้าคิดที่จะทำอะไรกันตัวข้าอีกคน..ข้าไม่มีวันให้เจ้าได้แตะต้องฟุริฮาตะอีกเป็นแน่..ถอยออกมาซะ”
สัญชาติญาณของแวมไพร์กำลังตีตื้นขึ้นมาทีละนิดอาคาชิพยายามอดกลั้นและหักห้ามไม่ให้ตัวเขาต้องบ้าคลั่งทำร้ายฟุริฮาตะเป็นครั้งที่สามอีกแน่
ลิ้นสีระเรื่อเลียไซร้ไปตามปากแผลที่มีโลหิตไหลนองออกมาจากมือข้างใดข้างหนึ่งที่โดนกิ่งต้นไม้ครูด
“คะ...คุณอาคาชิ..มะ..มันจั๊กกะจี้นะครับ..อื้อ..” ฟุรฮาตะรู้สึกเกร็งขึ้นมาเมื่อลิ้นที่ซุกซนของคนข้างๆกำลังเล่นเลียแผลจากผ่ามือของเขา
จู่ๆสิ่งที่ไม่คาดคิดก็ได้เกิดขึ้นจากอาคาชิที่เลียแผลที่มือของเขาอยู่ดีก็ได้ล้มพับลงไปเสียดื้อๆ
“เย็น...”
มือเรียวสัมผิสกับผิวหน้าเขาพบว่าอีกฝ่ายตัวเย็นเฉียบเหมือนคนที่ตายแล้ว
ทำยังไงดี..ผมไม่อยากให้เขาเป็นอะไรไปเลย
ไม่ได้นะจะมาท้อแท้อยู่แบบนี้ไม่ได้คิดสิโคคินายเป็นถึงน้องชายของพี่โคมะเชียวนะ
เขาครุ่นคิดอยู่เมื่อครู่แต่แล้วภาพความทรงจำก่อนหน้านั้นตอนที่เขาจูบกับอาคาชิจู่ๆแผลก็สนานหายไปอย่างรวดเร็วใบหน้าพลันขึ้นสีระเรื่อแดงเถือกไปถึงคอทันทีที่คิดเรื่องพวกนี้
“สรุปผมต้องมีแต่วิธีนี้ใช่ไหมอ้อก่อนอื่นลองใช้คาถาพยาบาลดูก่อนดีกว่าเขาไม่รอช้าปากพึมพำท่องคาถาร่ายมนต์พร้อมกันนั้นที่มือที่สำผัสอยู่ที่หน้าผากแสงสีส้มอ่อนๆเปล่งออกมาสักพักมันก็ดับ
“ไม่ได้ผล..”
ผลลัพธ์ออกมาล้มเหลวเด็กหนุ่มหยุดนิ่งไปสักพักหลับตาปี๋ปากอุ่นๆแตะที่ริมฝีปากที่เย็นเฉียบและเป็นไปตามคาดผลลัพธ์นั้นยังคงออกมาเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลงชายหนุ่มที่มีร่ายกายอันเย็นเชียบไม่ยักที่จะฟื้นขึ้นมา
“เพราะขาดสารอาหารอย่างรุนแรงน่ะ..” เสียงหนึ่งดังขึ้นจากมุมมืดในถ้ำ
“ใครกันน่ะ...”
ฟุริฮาตะหันซ้านแลขวามองเจ้าของต้นเสียงปริศนาเสียงฝีเท้าค่อยๆไกล้เข้ามาเรื่อยๆผ้าคลุมสีขาวกับเครื่องแต่งกายที่ดูธรรมดาผมสีดำขลับแสกกลางนัตย์ตาสีเทาอ่อนดูโฉบเฉี่ยวดุจพญาอินทรีย์
“เอาน่าๆฉันมาดีนะอย่าทำหน้าตาหน้ากลัวอย่างนั้นซี่..”
ใบหน้ายิ้มทะเล้นแบบกวนๆที่ดูเป็นเอกลักษณ์
“แล้วที่พูดเมื่อกี้หมายความว่ายังไงกันงั้นเหรอครับ”
คำถามที่ไม่น่าจะถามก็รู้คำตอบหลุดออกจากปากของเด็กหนุ่มทำให้ชายหนุ่มปริศนาถึงกับเลิกคิ้วแล้วหิวเราะคิกคัก
“มันก็เป็นธรรมชาติของเผ่าพันธุ์แวมไพร์อยู่แล้วนี่นาว่าการดื่มเลือดของมนุษย์เพื่อความอยู่รอดน่ะ..”
คำตอบที่ได้ยินทำให้เขาถึงกับอึ้งอึดอัดจนพูดไม่ออก “แต่ก็น่าแปลกนะทั้งที่เขาก็น่าจะกินเลือดออกล่าหาเหยื่อที่เป็นมนุษย์มาดื่มเลือดในปริมาณเท่าไหร่ก็ได้แท้ๆเพราะอะไรกันนะ”
ดวงตาคมของพญาเหยี่ยวเหลือบหันมองต้นเหตุที่อยู่ตรงหน้าแววตาจับผิดสงสัยแสดงออกมาอย่างเห็นได้ชัดเจนว่าต้นเหตุที่ทำให้อาคาชิอยู่ระหว่างความเป็นความตายอยู่อย่างนี้ก็เพราะใคร
เพราะเขาต้นเหตุก็คือเขาคนเดียว
“ถ้าแวมไพร์ไม่ได้ดื่มกินล์อดติดต่อเนื่องกันมานานหลายปีโอกาสที่เขาจะหมดแรงจนสลบหรือตายไปก็อาจจะเป็นไปได้สูงเลยทีเดียวเชียวล่ะ”
ใบหน้านั้นยิ้มเหมือนกับว่าสิ่งที่ตนพูดเป็นเพียงแค่เรื่องเล็กๆน้อยๆแต่ตรงกันข้ามกับฟุริฮาตะเองที่มีสีหน้าเคร่งเครียดและกดดันอย่างหนัก “แล้วผมควรจะทำยังไงดีผมยังไม่อยากให้เขาตาย..”
มันเหมือนคำถามโง่ๆสำหรับใครบางคนแต่เขาชายหนุ่มปริศนาอมยิ้มไปสักพัก
“อืม..ก็น่าจะรู้ดีนี่ครับว่าแวมไพร์ชอบกินอะไร”
อึก...ฟุริฮาตะกลืนน้ำลายชุดใหญ่ลงลำคอพร้อมกับเตรียมเวลาเตรียมใจสำหรับการให้อาหารอาคาชิแล้ว...
เด็กหนุ่มออกแรงกัดนิ้วตัวเองเพื่อให้เลือดไหลออกมากลิ่นเลือดคละคลุ้งปนอยู่ในอากาศหลอดโลหิตสีชาดพลังหยดดิ๋งๆไหลนองพื้น
“คุณอาคาชิได้โปรดฟื้นขึ้นมาด้วยเถิด...”
To be continued………………………….
comment Writer : การสอบกำลังเข้ามาหลอกหลอน พร้อมกับไหดองที่กำลังคืบคลานเข้ามาไกล้ๆ
ความคิดเห็น