FictionYAOI - [KNB] - Akashi x Furihata >> love sweet blood ที่รักของนายแวมไพร์ [[ Chapter 06 ]]
Fiction YAOI
kuroko no basket
Akashi x Furihata
PG
Chapter 06
By Yuhey
kuroko no basket
Akashi x Furihata
PG
Chapter 06
By Yuhey
Chapter06
“ขอโทษที่เป็นภาระให้นะครับผมขอโทษจริงๆ”
ฟุริฮาตะคุกเข่าสำนึกผิดที่ต้องกลายเป็นตัวถ่วงให้กับใครบางคนที่เพิ่งรู้จักกันเพียงไม่ถึงสองวันต้องลำบากเพราะความสะเพร่าไม่ระมัดระวังของตัวเขาเองหลังจากที่ได้ฟังเรื่องราวต่างๆในขณะที่เขาสลบไปในสามวันก่อนนั้น
“ไม่เป็นไรหรอกเจ้าน่ะนอนได้แล้วง่วงไม่ใช่เหรอไม่ได้นอนมาถึงสองวันเลยนี่”
อาคาชิกดหัวของคนที่นั่งอยู่ข้างๆให้โน้มตัวมานอนหนุนตักเขาไปพลางๆ
บนหน้าผาสูงที่ปกคลุมไปด้วยไอหมอกสีขาวและต้นไม้สีเงินสิ่งมีชิวิตที่อาศัยอยู่ที่แห่งนี้ล้วนแต่เป็นสีเดียวกันหมดไม่ว่าจะเป็นทุ่งหญ้าหรือแม้แต่สีของดินและก้อนหินล้วนสีเหมือนกันมองไปทางไหนก็เป็นสีขาวกับสีเงินดั่งกับหิมะที่ปกคลุมอยู่ในภพมนุษย์
และอากาศที่เย็นยะเยือกหนาวสั่นไปจนถึงกระดูกดำพระจันทร์ที่โขว์หราแสดแสงอยู่บนท้องฟ้ากลายเป็นภาพที่ชินตาผวกเขาเสียแล้ว
“หนาวรึเปล่า...” อาคาชิกระซิบถามเด็กหัวน้ำตาลเบาๆ
“ฟุริฮาตะผงกหัวตอบแทนการสนทนาให้เปลืองคำพูดแต่แสดงออกทางกิริยาอาการเพียงเท่านั้นอาคาชิถอดผ้าคลุมสีดำที่มีรอยไหม้รอยขาดจากการต่อสู้เสมือนส่วนหนึ่งของร่างกายมาห่มให้ฟุริฮาตะเพื่อรรเทาความหนาวลงถึงแม้ว่ามันจะไม่ช่วยให้หายหนาวแต่ก็พอที่จะช่วยอะไรได้บ้างไม่มากก็น้อย
“ใครน่ะ..” อาคาชิเห็นไปบริเวณรอบๆด้วยสัญชาตญาณของเสี้ยวมนุษย์หมาป่าอันน้อยนิดผสมไหวพริบของแวมไพร์หันไปรอบๆบริเวณ
“สวบๆ”
“ถูกเห็นเข้าซะแล้วสิแหะๆ”
ชายหนุ่มร่างสมส่วนสวมแว่นตากรอบสีดำท่าทามีพิรุธเดินออกมาจากหลังพุ่มไม้พร้อมกับเด็กหนุ่มอีกคนที่เดินออกมาด้วยอาการสั่นกลัว
“ผมขอโทษครับ ขอโทษครับ ขอโทษครับ ขอโทษจริงๆ ขอโทษๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ”
และดูเหมือนจะเอาแต่พูดว่าขอโทษรัวๆอยู่อย่างนั้น
“เอาน่าซากุราอิเจ้าไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อยเลิกขอโทษได้แล้ว”
ชายสวมแว่นทำทีพูดปลอบ
“ท่านมุระอะไรที่นี่รึดูเหมือนไม่ใช่ปีศาจชนชั้นธรรมดาเลยนี่”
แน่นอนอยู่แล้วเขาดูเป็นปีศาจที่ฉลาดสามารถดูได้ว่าศัตรูนั้นเป็นคนยังไง
“เจ้าพอจะบอกข้าได้หรือไม่ว่า นครหลวงห่งเอสเรนส์เดลนั้นอยู่ที่ไหนไปทางไหนกันแน่”
อาคาชิไม่ได้เหลียวแลหันมามองแต่อย่างใดเขาเพียงแต่ใช้หางตาแลดูก็รู้ว่าใครอยู่ข้างหลัง
“นั่นมันเมืองสำหรับปีสาจชั้นสูงเลยนี่ถ้าท่านอยากรู้ก็ต้องแลกกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งข้าถึงจะบอก”
ใบหน้าของชายหนุ่มแสยะยิ้มน้อยๆดูท่าทางแปลกผิดสังเกตพิกล
“แล้วถ้าข้าปฏิเสธล่ะเจ้าจะทำอะไรข้างั้นรึ”
“ก็ถ้าท่านประสงค์แบบนั้นจะเลือกเอาว่าจะทรมานหรือจะตายก้เท่านั้นเอง”
จู่หมอกสีขาวที่เริ่มมารวมตัวทับถมกันจนเกิดเป็นรูปเป็นร่างดาบเล่มใหญ่ที่อยู่ในมือของเขา
กวัดแกว่งจ้วงไปอย่างรวดเร็วแต่ท้ายที่สุดแล้วกรงเล็บสีดำอันเรียวแหลมและเฉียบบางแต่คมดั่งดาบที่สามารถฟันก้อนหินผาออกจากกันได้รีบสกัดกั้นเอาไว้ทัน
“ หึ..งั้นแสดงว่าข้าต้องผ่านศพเจ้าไปก่อนสินะ” อาคาชิกล่าวแล้วเอี้ยวตัวหันมา
ฟุริอาตะนายหลีกออกไปก่อน “เอ๊ะ..”
ยังไม่ทันได้พูดอะไรฟุริฮาตะก็ถูกพลักให้ไปอยู่ที่หลังต้นไม้ “ขอโทษครับๆๆๆๆๆๆๆ”
ซากุราอิผงกหัวขอทาขอโผยโดยไม่รู้จักเหนื่อยต่อหน้าฟุริฮาตะ
“เอ่อ...ผมไม่เป็นไรหรอกครับอย่าขอโทษเลย” ฟุริฮาตะยกมือห้ามปราม “หึ..” แต่จู่ๆเสียงขอทารัวๆของเด้กหรุ่มที่อยู่ตรงหน้าได้เงียบกริบไปพร้อมกับมีดสั้นที่แกว่งมาด้วยความเร็วสูง
“เฮ้ย!!”
ฟุริฮาตะอุทานออกมาโชคดีที่เขาเอี้ยวตัวหลบได้แต่ยังไม่หมดเพียงเท่านั้นเด็กหนุ่มหน้าตาน่ารักคล้ายเด็กผู้หญิงตะหวัดจ้วงแทงเขารัวๆและเป็นเขาเองฟุริฮาตะต้องหลบซ้านหลบหน้าหลบหลังไปมาเรื่อยเพื่อไม่ให้อาวุธที่อยู่ในมือของเด็กหนุ่มมาโดนตัวเขา
“น..นะ..นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย..เหวอ.ๆ”
แทบจะไม่มีเวลาหยุดพักหายใจเลยเขาก็ต้องหลบไปอย่างไร้ทางสู้ “ โอ๊ะ..โอ
ลืมบอกไปว่าเด็กของฉันเองก็ไม่ธรรมดาเหมือนกัน” ชายสวมแว่นนิรนามตุกแว่นของตนเขาแสยะยิ้มออกมาอย่างหน้าขนลุก
“หึ..ดูเหมือนว่าเจ้าคงจะมีความมั่นใจมากเลยสินะ”
อาคาชิยิ้มหยันทำทีดูถูก “แน่นอน” เขาสวนตอบทันควัน ในแววตาสีเทาหม่นเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยมและทันใดนั้นเองร่างสูงสมส่วนรีบเคลื่อนไหวหายไปอย่างรวดเร็วราวกลับวาร์ปได้ดาบเล่มใหญ่ที่ดูท่าจะหนักไม่เบาฟาดฟันกระหน่ำลงไปแต่อาคาชิก็หลบได้ทุกครั้ง
ความชำนาญในการใช้อาวุธขนาดใหญ่ของบุรุษปีศาจหนุ่มนิรนามทำให้อาคาชิแปลกใจเล็กน้อย
ทั้งการเคลื่อนไหว
และกระบวนท่าต่างๆเขาช่างคล่องแคล่วเสียเหลือเกินอาจจะเก่งกว่าปีศาจกระจอกๆที่เขาเจอมาก็เป็นได้
“เจ้าเป็นใครกันแน่..” อาคาชิถามด้วยความอยากรู้
“เรื่องนี้ข้าก้ไม่สามารถตอบได้ถ้าท่านอยากรู้ก็ต้องชนะข้าให้ได้ซะก่อน” “ชิ..” อาคาชิเดาะลิ้นแสดงอาการไม่พอใจอยู่นิดๆ
“งั้นข้าคงไม่มีทางเลือกแล้วสินะ” อาคาชิพูดเสียงแข็งดวงตาสีทับทิมข้างซ้ายแปรเปลี่ยนเป็นสีอำพันโดยฉับพลัน
คมเขี้ยวแวมไพร์ดุจอสรพิษที่โผล่ออกมา
ความเร็วที่ขึ้นชื่อของแวมไพร์ก็พร้อมที่จะสำแดงแรงฤทธิ์ออกมาตามไปด้วย
ดาบเล่มใหญ่ที่ฟาดฟันกระทบเสียดสีกับกรงเล็บที่เข้าปะทะจนทำให้เกิดประกายไฟสีส้มเล็กน้อย
ดาบที่แข็งและหนักกวัดแกว่งไปมาอย่างรวดเร็วพื้นหิมะสีขาวที่แตกแยกออกจากกันเป็นรอยร้าวออกผลพวงมาจากกระปะทะต่อสู้ระหว่างกัน
อาคาชิที่กระโดดลอยอยู่กลางอากาศโดยปีกค้างคาว
ชายหนุ่มนิรนามที่สาดพายุหิมะมฤตยูเข้าใส่แต่ผลสุดท้ายแล้วด้วยความเร็วของแวมไพร์ที่ไหลเวียนอยู่ในตัวของอาคาชิก็สามารถหลบได้มาอย่างหวุดหวิดจะมีบาดแผลบ้างเล็กน้อยดาบใหญ่ที่ฟาดฟันในขณะเดียวกันที่กรงเล็บสีดำก็สะกัดกั้นเอาไว้ได้ต่างฝ่ายต่างไม่ออ่อนข้อห็กันเลยแม้แต่น้อย
“นี่มันเรื่องอะไรกันน่ะครับ..”
ฟุริฮาตะที่ถูกจนมุมมาจนหลังของตัวเองแนบกับต้นโอ็กขนาดใหญ่มีดพกสีเงินที่อยู่ห่างจากคอของเขาเพียงไม่กี่เซน
“ขอโทษนะครับๆๆๆๆ หึ..ขอโทษนะครับตายวะเถอะนะครับ..”
คำพูดขอโทษรัวๆแบบนันสต็อปพร้อมกับเจตนาไม่ดีที่เร้นแฝงมาด้วย
ฟุริฮาตะหลับตาปี๋ด้วยความกลัวและหมดหวังไร้หนทางในการโต้ตอบ
พร้อมตะโกนบอกตัวเองในใจเสมอว่า ตายแน่ เขาได้ตายแน่ๆ “อึ...อ้ากกกกกกกก”
แต่ก็ไม่เป็นเช่นนั้นแต่เป็นฝ่ายของซากุราอิต่างหาก สายฟ้าสีเหลืองอ่อนรีบตรงเข้าช็อกซากุราอิทันทีร่างของเด็กหนุ่มที่ดูเหมือนจะอายุรุ่นคราวเดียวกันกับเขานอนสลบแน่นิ่งไปเขารีบลืมตาขึ้นมาทันที
สิ่งที่เขาเห็นมันทำให้เขาประหลาดใจปีกนกขนาดใหย่สีขาวมีไฟสีเหลืองเปลวล้อมรอบมันเอาไว้ปีกทั้งสองข้างโอบล้อมเป็นโล่ป้องกันเขาเอาไว้อย่างดี
“ซากุราอิ..!!!!!!!!”
ชายหนุ่มนิรนามตะโกนเรียกร้องหาเด็กหนุ่มดังลั่นแม้ว่าจะอยู่ในช่วงเวลาต่อสู้ก็ตามแต่ก็เป็นเรื่องธรรรมดาที่เขาจะอดห่วงไม่ได้
และก้ไร้การตอบรับไม่มีวี่แววแม้แต่ร่างที่จะโผล่หัวออกมา เขารู้สึกใจคอไม่ดีจึงตัดสินใจกระโดดหนีออกมาจากการปะทะและรีบวิ่งไปตามทางที่มาของเสียง
ทว่าใครรึจะยอมให้หนีการประลองต่อสู้ให้เสียดื้อๆราชาปีศาจอดีตลูกขุนนางระดับสูงอย่างอาคาชิเขาเองก็ไม่ยอมปล่อยให้เป้าหมายรึศัตรูหลุดหนีหรือคลาดสายตาไปได้
“ซากุราอิเจ้าสบายดีรึเปล่าเป็นอะไรไหมตอบข้าด้วย..”
เสียงเรียกของชายไร้นามแว่นดำตาหยีเรียกเด็กหนุ่มแม้ว่าจะถูกไล่ล่าในตอนที่เขาวิ่งอยู่บนอากาศ
ถึงกระนั้นผมลัพธ์ก็ยังเหมือนเดิม เพียงแต่จู่ๆปีกสีขาวบริสุทธิ์
ขนาดใหญ่โผล่โพ้นออกมาจากบรรดาเหล่าต้นไม้ที่โอบล้อมปกคลุมภูเขาเอาไว้ พร้อมเจ้าของปีกที่กำลังบินขึ้นมา
“คุณอาคาชิ..เป็นอะไรรึเปล่าครับ”
ท่ามกลางอากาศและระหว่างคู่ต่อสู้ทั้งสองที่กำลังไล่ล่าฆ่าฟันกันก็อันเป็นต้องหยุดชะงัก
“ฟุริฮาตะ..นี่เจ้า” เหมือนกับมีก้อนหินขนาดใหญ่มาอุดกั้นหลอดคอเอาไว้ไม่ให้เปล่งเสียงออกไปทำให้เขาไม่สามารถพูดออกมาเป็นเสียงได้
พลันเจ้าปีกสีขาวที่เขาเห็นภาพแห่งความทรงจำในวันวานภาพของชายหนุ่มที่เป็นร่างสถิตของเทพีแห่งสวรรค์รุ่นก่อนก็ปรากฎขึ้นตามมาด้วยอาการคลุ้มคลั่งคุมสติไม่อยู่ของอาคาชิสำแดงเดชออกมาในทันที
ดวงตาข้างซ้ายแปรเปลี่ยนจากสีทับทิมบานเย็นเป็นสีเหลืองส้มอำพันในทันใด
สัญชาติญาณของแวมไพร์เข้าครอบงำเขาเข้าอย่างเต็มที่ อาคาชิพุ่งชาร์จเข้ามาในชนิดที่ฟุริฮาตะไม่สามารถจะหนีออกห่างได้
คมเขี้ยวดุจงูพิษฝังลึกเข้าถึงเนื้อลามไปถึงเส้นเลือดใหญ่ฟุริฮาตะรีบผละออกห่างจากเขาให้โดยเร็วที่สุดแต่ด้วยพละกำลังที่มีเพียงน้อยนิดเขาไม่อาจสามารถจะหนีหลุดพ้นไปโดยทันทีได้
ท้ายที่สุดแล้วฟุริฮาตะก็ร่วงลงสู่พื้นธรณีทันทีหลังจากที่ถูกดูดเอาทั้งเลือดและพลังของเขาออกไปจนเกือบครึ่ง
ยังเป็นโชคดีที่เขาไม่โดนกิ่งไม้เสียบเอาแต่ถูกพาดเอาไว้ที่กิ่งต้นไม้โอ๊กขนาดใหญ่รองรับเขาเอาไว้อยู่
อาคาชิเสียการควบคุมในตอนนี้ไม่มีใครมาขวางเขาได้อีกต่อไปแล้วเขาเคลื่อนไหวไปมาอย่างบ้าคลั่งด้วยระดับความเร็วแสง
ชายสวมแว่นปริสนาแทบจะมองเขาไม่ทันทีเลยทีเดียวจากที่เขาและอาคาชิที่ปะทะกันอย่างสูสีหลังจากที่อาการบ้าคลั่งสัญชาติญาณของแวมไพร์ถูกปลุกตื่นขึ้นมาเขาตกไปอยู่ฝ่ายตั้งรับและเป็นฝ่ายที่ถูกโจมตีอยู่ฝ่ายเดียว
การปะทะกันครั้งนี้ท่าจะไม่จบง่ายๆและเขาอาจจะต้องตายเป็นแน่แท้
ชายสวมแว่นผมสีดำขลับอาศัยช่องว่างเพียง
น้อยนิดตามความชาญฉลาดของเขาหนีไปหลบซ่อนเพื่อตั้งหลักในการโจมตีครั้งต่อไป
เขาพลาดท่าและประเมินคนอย่างอาคาชิต่ำเกินไปแล้ว จู่
คมเขี้ยวแหลมคมดุจเขี้ยวเพชรของอสูรกายไฮดร้า ขบทะลุเข้าไปจนถึงเส้นเลือดแดง
“อ๊ากกกกกกกกกกกก” เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดของเขาร่างสูงผิวซีดเผือกรีบสะบัดตัวให้หลุดออกมาก่อนที่จะโดนดูดดเลือดซะก่อน
เมื่อเขาถูกตัดรอนกำลังให้หายไปเกือบครึ่งนั่นก็ย่อมต้องเสียพลังในการทรงตัวไม่นานนักภาพของท้องฟ้าและพื้นดินสีขาวโพลนที่ปกคลุมด้วยหิมะก็ได้พลันหายไปเหลือไว้แค่แรงโน้มถ่วงที่หอบเอาพาร่างของเขาลงสู่พื้นดิน
“เลือด...”
เสียงพึมพำอันเยือกเย็นหลุดออกมาจากลมปากของชายหนุ่มดวงตาสองสี
เขาที่ลอยตัวอยู่ในอากาศบินโฉบมองหาเหยื่อเลือดอย่างบ้าคลั่ง
“อะ..อึก..”
ภายยังพื้นเบื้องล่างที่มีหิมะสีขาวปกคลุมต้นโอ๊กขนาดใหญ่ที่ตั้งเด่นสง่าสูงส่งกว่าต้นอื่นกิ่งก้านสาขาที่ดูทรงพลังและแข็งแรงมีร่างอันบอบบางของเทพพระบุตรหนุ่มน้อยพาดอยู่ตรงนั้น
ทั้งที่คิดว่าเขาน่าจะแน่นิ่งสลบไปเสียแล้วแต่กระนั้นเอง
ปีกสีขาวบริสุทธิ์ที่ไม่น่าคิดว่าจะใช้การได้มันน่าจะหักไปแล้ว
ร่างกายอันบอบบางค่อยๆขยับนิ้วมือของเขากระตุกขึ้นเล็กน้อยเปลือกตาที่หลับตาถี่ๆลืมตาขึ้นมามองทัศนียภาพตรงหน้าทุกอย่างกลับหัวไปหมด
จนกระทั่งเงาตะคุ่มสีดำพุ่งทะยานมายังเขาด้วยความเร็วสูงมันผลักร่างของฟุริฮาตะร่วงหล่นลงกับพื้นหิมะสีขาว
ลำตัวและหัวกระแทกเข้ากับพื้นหิมะทันทีความเจ็บปวดแล่นไหลเข้าสู่เส้นประสาทแผ่กระจายไปทั่วร่ายกายอย่างรวดเร็ว
“ยอมเป็นอาหารของข้าเถอะฟุริฮาตะ..หึหึ..”
เขา “อาคาชิ” แสยะยิ้มมุมปากอย่างร้ายกาจแล้วทำการกดตัวของคนใต้ร่างให้ขยับตัวไม่ได้
ความกลัวบวกกับความเจ็บปวดที่ยังไม่เบาคลายฟุริฮาตะไม่มีแรงพอที่จะต่อกรกับอาคาชิเขาไม่สามารถหยุดความบ้าคลั่งของแวมไพร์กระหายเลือดที่ถูกปลุกออกมาโดยสัญชาติญาณ
ขอบตาร้อนผ่าวอะดรีนาลีนเริ่มหลั่งไหลเข้าสู่สมองทำให้การสั่งการเคลื่อนไหวเป็นไปได้อยาก
ในหัวตื้อไปหมดสิ่งที่เขารับรู้ได้ก็คือความว่างเปล่าสภาพแวดล้อมตรงหน้าเริ่มเบลอหยดน้ำตาเข้ามาบดบังแทนที่
คมเขี้ยวดุจสัตว์ร้ายในป่าลึกกัดขบเม้มที่ผิวหนังซอกคอของคนใต้ร่างรอยกัดแผลเก่าที่ยังไม่หายสนิทดีถูกตีตราซ้ำเติมเพิ่มความเจ็บปวดให้เจ้าของร่างหลายคณานับหลาดโลหิตสีแดงฉานที่ไหลออกมาจากปากแผลไหลตามแนวของผิวหนังถูกลิ้นสีระเรื่อเล็มอย่างสะอาดหมดจด
อาคาชิดื่มด่ำกับกลิ่นเลือดของฟุริฮาตะเหมือนอาหารชั้นเลิศ
ฟุริฮาตะที่ได้แต่แน่นิ่งและชินชากับความเจ็บปวดได้หมดสติไปพร้อมกับน้ำตาแห่งคำอ้อนวอน
นัยน์ตาที่ไร้แววตาของมนุษย์เริ่มซาลง..ตาข้างซ้ายที่เป็นสีเหลืองได้จางหายไปกลับมาเป็นสีทับทิมดังเดิมสติสัมปัชชัญะ
กลับมาเป้นอาคาชิคนเดิมอีกครั้งพร้อมกับการกระทำที่ต่ำช้าที่เขาได้ทำลงไป..
“ฟุริฮาตะ!!! ฟุริฮาตะ!!!!” เขาเขย่าตัวของฟุริฮาตะทันทีแต่แล้วก็ไม่เป็นผลร่างบางไม่แม้จะขยับตัวหรือรู้สึกตัว
กลุ่มก้อนของความรู้สึกผิดและความกังวลคละเคล้าด้วยกัน
นัยน์ตาสีทับทิมกลอกตามองหาผู้คนเพื่อหวังจะให้ช่วยแต่ก็ไร้วี่แววไร้สิ่งมีชีวิตที่กำลังเดินผ่าน
ไม่มีใคร..พอที่จะช่วยข้าบ้างเลยงั้นหรือ
เขาตัดรอนในใจในการหาความช่วยเหลือจากบุคคลอื่น
อาคาชิปลดผ้าคลุมที่ขาดหวิ่นสีดำมาห่มให้ฟุริฮาตะ
อีกครั้งคราวนี้เขาไม่ยอมอยู่เฉยๆร่างบางถูกอุ้มอยู่สภาพที่เหมือนดักแด้ห่อด้วยผ้าคลุมสีดำขาเรียวเดินไปเรื่อยๆอย่างไร้จุดหมายท่ามกลางสีขาวโพลนของหิมะที่โอบล้อมด้วยสีรัตติกาลของท้องฟ้าขลับให้พื้นที่โดยรอบกลับว่างเปล่าและอ้างว้างเข้าไปอีก
“ข้าขอโทษ..เจ้าจะเกลียดข้าก็ได้นะ”
เสียงพึมพำที่สั่นเครือเพียงเล็กน้อยน้ำตาที่กำลังไหลคลอจนโล้นเต็มเบ้าตาแต่คนอย่างอาคาชิก็กลั้นเอาไว้ได้
“ข้าผิดเอง..ที่ไม่สามารถหยุดตัวเองเอาไว้ได้”
เสียงพึมพำที่แฝงมาด้วยความสำนึกผิดที่เขาไม่สามารถหยุดยั้งสัญชาติญาณของปีศาจที่ซุกซ่อนอยู่ภายในจิตใจของตัวเองไม่ได้
เขาไม่สามารถไล่มันออกไปจากจิตใจของตัวเองได้
เพราะนี่เป็นสายเลือดที่เกิดจากปีศาจของพ่อเขามาส่วนหนึ่งมันคงเป็นไปได้อยากหากจะลบล้างปีศาจออกจากตัวเขา
หรือแม้กระทั่งการคิดจะหลีกหนีจากพันธนาการจากตระกูลแวมไพร์อย่างอาคาชิเอง
เสี้ยวหนึ่งที่มีจิตใจเป็นของมนุษย์อีกเสี้ยวที่มีจิตใจของปีศาจร้ายที่พร้อมจะยึดร่างของเขาเอาไว้ได้ทุกเมื่อในเฉพาะยามที่เขาโกรธหรือโศกเศร้าเสียใจถึงกระนั้นเขาก็รู้ดีและก็ยอมรับว่าตอนที่เขาอยู่ภพมนุษย์เขาก็เคยสังหารล่าเหยื่อมาเยอะพอสมควรอาจจะทำไปเพื่อความหิวความอยู่รอดซึ่งเรื่องนี้เขาก็ไม่อาจที่จะปฏิเสธได้
เวลาที่ล่วงเลยมาเกือบชั่วโมงครึ่งบนดินแดนสีขาวที่อ้างว้างที่มีแต่ความว่างเปล่าจะมีก็มีแต่ต้นไม้สีเงินที่ตั้งตระหง่านโชว์หราอยู่สองสามต้นกระจายกันไป
“เฮ้...เจ้าเป็นคนจากพวกไหนกันน่ะข้าไม่เคยเห็นหน้าเลย”
เสียงตะโกนอันหน้ารำคาญของใครบางคนดังขึ้นอาคาชิชายตามองขึ้นไปบนต้นไม้
ร่างสูงผมสีน้ำข้าวโพดหน้าตาดุดันเขาสวมเสื้อสีขาวหม่นทาบทับด้วยเสื้อกักขนหมีปีศาจสีขาวทาบทับลงไปชายหนุ่มคนนั้นกระโดดลงมาจากต้นไม้เดินเข้ามาหาอาคาชิที่มองดูอยู่
“ข้างนอกมันหนาวมาพิงไฟที่บ้านข้าก่อนเถอะ”
ชายหนุ่มออกปากชวนแสดงความมีน้ำใจอาคาชิลังเลอยู่เล็กน้อยมองชายตรงหน้าสลับกับคนที่ถูกห่อเอาไว้เป็นดักแด้ที่มีอาการสั่นจากความหนาวเล็กน้อย
ถ้าปล่อยไว้ก็คงหนาวตาย.. เขาคิดได้และพยักหน้าแทนคำตอบก่อนจะเดินตามไปแต่โดยดี
จะสังเกตเห็นได้ว่านับเวลายิ่งนานเข้าหิมะที่ปกคลุมหน้าอยู่แล้วก็ยิ่งจะหนาเข้าไปอีกและมีแนวโน้วว่าจะสูงขึ้นเรื่อยๆจนตอนนั้นมันก็สูงเลยข้อเท้ามาถือหัวเข่าเสียแล้ว
ในบ้านที่สร้างจากอิฐสีแดงโครงสร้างของบ้านที่ออกแบบมาอย่างเรีบยง่ายแต่ก็มั่นคงแข็งแรงขนาดของบ้านและความกว้างของตัวบ้านไม่ใหญ่กว้างหรือเล็กแคบจนเกินไปแต่มีขนาดที่พอเหมาะแก่การอาศัยอยู่ในบ้านที่ดูไม่อึดอัดจนเกินไปฟอร์นิเจอร์ที่เรียบง่ายและของตกแต่งไม่กี่อย่างทำให้บ้านหลังนี้ดูโล่งดูแล้วสบายใจ
แสงสีส้มแดงที่พลิ้วไหวสะบัดไปมาอยู่ในเตาพิงความร้อนจากตัวมันแผ่ซ่านออกมาอย่างเบาบางเพิ่มความอบอุ่นให้พื้นที่โดยรอบ
ในตอนนี้เอง
ที่อาคาชินั่งอยู่ข้างหน้าเตาไฟพร้อมกับร่างแบเบาะบอบบางนอนหลับสนิทโดยใช่ตักของเขาหนุนแทนหมอนใบโปรด
“ดูเหมือนท่านจะมาไกลเลยล่ะสินะคงโดนเนรเทสมาล่ะสิท่าหรือเป็นนักโทษที่หนีออกมาล่ะ”
ชายหนุ่มสักถามอาคาชิที่นั่งนั่งดวงตาที่จับจ้องอยู่ที่แสงของเปลวไฟในเตาพิง
“ไม่ใช่ทั้งสองอย่าง”
อาคาชิตอบสั้นๆเพื่อเป็นการตัดบทสนทนารู้ทั้งรู้ว่าตอนนี้เขาไม่ต้องการที่จะพูดอะไรทั้งนั้น
เมื่อไร้ซึ่งบทสนทนาแล้วชายหนุ่มผมสีน้ำข้าวก็ไม่ถามเซ้าซี้อะไรมากอีกแล้วเขาก็เข้าไปนอนหลังจากนั้นแล้ว
ระหว่างนั้นเองอาคาชิได้เริ่มใช้เวลาที่เหลือนี้ในการครุ่นคิดอะไรสักอย่าง
........................................................
............................................................... .....................................................
กลุ่มของเอ็กซอร์ซิสตืมุ่งหน้าสู่ทางทิศตะวันตกตามที่คุโรโกะสามรถสัมผัสถึงพลังเวทย์ได้
ใช้เวลาร่วมหลายชั่วโมงก่อนที่จะถึงจุดที่สัมผัสพลังเวทย์อันแรงกล้านั่นอยู่ที่ชานเมืองไร้ผู้คนอาศัยอยู่บ้านช่องที่มีอยู่เพียงเบาบางและชกชุมไปด้วยเหล่าต้นไม่และสัตว์ป่าปีศาจ
ทันทีที่พวกเขาลงเหยียบพื้นดินกลุ่มปีศาจอันธพาลที่แอบซุ่มอยู่ตามต้นไม้พากันกรูออกมามุ่งหวังที่จะทำร้ายเหล่านักปราบผี
พวกเขาสิบกว่าชีวิตเตรียมร่ายคาถาศาสตราวุธออกมาหยิบอาวุธให้พร้อมมือเตรียมการเปิดแกการต่อสู้ขอแขกที่มาเยือน
“ทุกคนเกาะกลุ่มกันเอาไว้”มิโดริมะตะโกนบอก “คิเสะระวังด้วยมันอยู่ข้าหลังนายแล้ว!!” คาซามัสซึตะโกนไล่หลังมาเมื่อเห็นปีสาจตนหนึ่งที่กำลังง้างธนูเตรียมพร้อมที่จะยิงคิเสะ “ปัง!!”
เสียงปืนแม็กนั่มของอิสึกิยิงเข้าที่กลางหน้าผากของมันเต็มๆ
“ขอบคุณนะฮะรุ่นพี่อิสึกิ” คิเสะกล่าวขอบคุณแต่อิสึกิกลับยิ่งมีสีหน้าตึงเครียด
“นี่ไม่ใช่เวลาจะมาขอบคุณนะรีบไปช่วยมิโดริมะก่อนเถอะเร็วเข้า!!”
อิสึกิตะเบ็งเสียงดังคิเสะรีบพุ่งพรวดมาเป็นกำลังเสริมสนับสนุนช่วยมิโดริมะทันที
“เฮ้ยเจ้าบ้าคิโยชิ..ยิงให้มันดีๆหน่อยสิวะ” ฮิวงะพูดออกมาทั้งที่กัดฟันกรอดด้วยความหงุดหงิด”อาโทษทีๆ”คิโยชิแก้ตัวตามน้ำไปความวุ่นวายที่ยังดำเนินอยู่การต่อสู้ที่ยังคงไม่จบง่ายๆสาดแสงแรงเสียดสีของคมดาบปะทะกันจนเกิดประกายไฟเสียงของลูกตะกั่วที่พุ่งออกมารวดเร็วราวดาวหางเสียงของสายธนูที่ยิงออกไปอย่างสุดแรงวงแหวนเวทย์จากการท่องคาถาที่เรียกอัญเชิญอาวุธมฤตยูแห่งการทำลายล้างอย่างร้ายกาจออกมาเสียงระเบิดรวมถึงเปลวไฟที่มอดไหม้
มันส่งผลกระทบทำให้พื้นที่โดยรอบได้รับผลกระทบไปด้วย
ต้นไม้ที่ถูกแผดเผาก้อนหินและพื้นดินธรณีที่แตกออกจากกันรวมทั้งสัตว์น้อยใหญ่ที่วิ่งหนีแตกกระเจิงอย่างชลมุนวุ่นวาย
ปีสาจที่ค่อยๆล้มตายจากการต่อสู้และเอ็กซอร์ซิสที่กำลังจะหมดแรงจากการใช้พลังมากเกินไป
“แฮ่ก..แฮ่ก”เสียงหายใจหอบด้วยความอ่อนล้าประสาทสัมผัสที่เริ่มด้านชาไปกับการที่ต้องแบกอาวุธฟาดเปรี้ยงกระหน่ำไปมาพวกปีศาจอสูรกายที่มาโจมตีแบบหมาหมู่ตอนก็ตายเกลื่อนศิโรราบอยู่ใต้ฝ่าเท้าของพวกเขาจนหมดสิ้น
ทุกแทบจะหมดแรงพวกเขานั่งพักกันสักครู่เพื่อให้ตัวเองหายเหนื่อย
“อา...วุ่นวายจังเลยน๊า~~กำลังนอนอยู่แท้ๆ”
เสียงหาวหวอดๆดังออกมาทำให้ทุกคนหันมามองเจ้าของเสียงเป็นตาเดียว
อะไรกันน่ะหมอนี่แต่งตัวประหลาดชะมัดเลย... คิเสะปรายตามองอย่างขบขันแต่โดนคาซามัสสึเขกไปหนึ่งหมัดกลางศีรษะเป็นการสั่งงสอนถึงความไร้มารยาทของเด็กโข่งผมทอง
แต่มันก็จริงอย่างที่เขาพูดการแต่งตัวพิลึกๆมันแปลกๆอย่างกับชุดแฟชั่นหรือไม่ก็ชุดของตัวตลกที่มาเล่นแสดงโชว์อยู่ในสวนสัตว์
ผมสีเฮเซลสวมชุดสูทเลยสก็อตขาวดำทั้งชุดเว้นเสียแต่เนกไทที่เป็นสีแดงแว่นตากลมสีดำหนาเต๊อะสวมห้อยหัวกะโหลกประหลาดเอาไว้ที่คอ
“เอ๋...พวกคุณก็เป็นมนุษย์เหมือนกันเหรอชายหนุ่มคนนั้นขึ้นเสียงสูงด้วยความดีใจเหมือนเจอพรรคพวกชนเผ่าชาติพันธุ์ของตนเอง
“หา...” ทั้งหมดทั้งมวลของกลุ่มนักล่าผีพูดเป็นเสียงเดียวกัน “เข้ามาในบ้านของฉันก่อนสิ”
เขาออกปากชวนด้วยอาการดีใจเป็นลิงโลดแต่ความฉงนงงสงสัยก็ยังไม่หายไปจากหน้าของพวกเขา
“เอ้า..มัวทำอะไรอยู่เดียวก็โดนผวกยักษ์จับกินหรอก”
เขาเห็นว่าพวกของฮิวงะที่ยืนแน่นิ่งอยู่ไม่ยอมขยับเขยื่อนจึงได้พูดสะกิดอีกครั้ง “อา..อื้ม” ฮิวงะตอบตามน้ำไป
ฮิวงะ!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!! เสียงตะโกนในใจของทุกคนแผดลั่นเป็นเสียงเดียวกันตกตะลึงถึงความคิดไม่ถึงของหัวหน้าทีมของตัวเอง
แต่ก็ไม่มีทางเลือกพวกเขาจึงจำเป็นจะต้องตามมาอย่างปฏิเสธเสียมิได้
มันก็ถูกอย่างที่ชายปริศนาคนนั้นกล่าวว่า อย่างนั้นแหล่ะ
ถ้าอยู่ข้างนอกดีไม่ดีได้ตายยกหมู่แน่
“นายคงจะชื่อ มิโดริมะสินะ
ส่วนเด็กสองคนนั้น คุโรโกะ คากามิ ใช่ไหม”
“!!!!????”
ท่ามกลางความตกตะลึงขึ้นอีกรอบชายแปลกหน้าที่พวกเขาไม่รู้จักแม้แต่ชื่อแต่ชายคนนี้กลับรู้จักชื่อพวกเขาซะงั้น
“ทำไมนายถึง..” ฮิวงะพยายามที่จะพูดออกมาแต่ก็ถูกห้ามปรามเอาไว้ซะก่อนด้วยนิ้วชี้ที่แตะจรดลงฝีปากของอีกฝ่าย “เรื่องนั้นเอาไว้มีโอกาสฉันค่อยจะบอกนายทีหลังพอถึงเวลานั้นนายก็จะรู้เอง”
แทนที่เขาจะหายคล่องใจแต่กลับกลายเป็นเพิ่มคำถามชุดใหญ่ป้อนเข้ามาเต็มที่
“แล้วนายเป็นใคร..”
มิโดริมะจ้องมองชายคนนั้นอย่างจับจ้องความมีพิรุธและจับผิดความสงสัย “อา..อย่ามองเหมือนฉันเป็นคนร้ายนักสิมิโดริมะ”
เขาทำท่าทีเลิ่กลั่กที่ทีสองมือยกขึ้นหลังมือแนบหน้าอกเป็นเชิงบอกว่าฉันไม่ใช่ผู้ต้องสงัสยสักหน่อย
“ชื่อฉันน่ะเหรอ โค.. ฉันชื่อโค
ยินดีที่ได้รู้จักส่วนที่ว่าทำไมฉันรู้จักพวกนายนั้นยังไม่ได้รู้เข้าใจนะ”
โคแนะนำตัวเองไม่วายที่จะเน้นย้ำดักทางคำถามพวกเขาเหมือนจะรู้ทันเอาไว้เล่นเอาซะพวกเขาไม่มีคำถามอะไรจะถามกันเลยที่เดียว
“แต่ผมสัมผัสพลังเวทย์ที่คล้ายกับฟุริฮาตะ โคคิได้มาจากตัวคุณนะครับ”
คุโรโกะจับจ้องเขานิ่ง
โคหยุดกึกอยู่กับที่ในขณะที่กำลังจะเดินไปเปิดประตูห้อง
“พูดเรื่องอะไรของนายกันน่ะ..ฟุริฮาตะ โคคิ
นี่ใครกันงั้นเหรอเพื่อนของพวกนายใช่หรือเปล่าโทษทีนะฉันไม่รู้จักหรอก”
เขาเว้นช่วงคำพูดแล้วหันหน้ามายิ้มตอบคุโรโกะออกไปเหมือนไม่มีอไรเกิดขึ้นแล้วเข้าห้องปิดประตูไปแต่สายตานั้นยังจับจ้องเขาอย่างไม่วางตา
“นายคิดอย่างนั้นจริงๆเหรอคุโรโกะ.” คากามิถามขึ้นมา “ไม่ผิดแน่นอนครับผมสัมผัสได้ถึงพลังเวทย์ที่คล้ายกับฟุริฮาตะคุงแต่นี่อาจจะเป็นแค่สิ่งที่ผมรู้สึกก็ได้บางทีมันอาจจะไม่ใช่เขาคนนั้นก็ได้นะครับผมคิว่าอย่างนั้น”
คุโรโกะพยายามตอบอย่างคลุมเครือเพื่อไม่ให้ใครเกิดความสงสัยและสับสนไปมากกว่านี้แต่ในใจของคุโรโกะยังคอยจับจ้องและสงสัยในตัวของผู้ชายแต่งตัวประหลาดคนนั้นนามว่า
โค อยู่ “นั่นสิก็เจ้าหมอนั้นมันตายไปแล้วนี่นา”
คราวนี้มีเสียงของเอ็กซอร์ซิสต์คนหนึ่งกล่าวขึ้นคาซามัสสึกระโดดถีบจนกระเด็นไปติดประตูเป็นการสั่งสอนมารยาทถัดจากคิเสะ
“เจ้าบ้า โอจิเอ้ยแกจะพูดอะไรก็หัดคิดและอ่านบรรยากาศหน่อยสิวะ”
เขาพูดเสียงฮึดฮัดขึ้นจมูก
แววตาสีหน้าที่แลเห็นได้ชัดแม้ว่าเขาจะเจอผู้คนเพื่อนร่วมทีมคนสำคัญที่ล้มตายมาหลายหนหลายคนนับครั้งไม่ถ้วนแต่กับคนๆนี้พวกเขากับมีสายสัมพันธ์ที่ตัดกันไม่ขาดแม้ว่าเขาคนนั้นจะจากไปก็ยังคงความอาลัยอาวรหลงเหลืออยู่ในจิตใจพวกเขาอยู่
“นั้นน่ะสินะ” คิโยชิพยายามยิ้มทำให้สีหน้าให้เป็นปกติกลบเกลื่อนความเศร้าหมองแล้วพูดเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา
บทสนทนาทั้งหมดที่พวกเขาพูดคุยกันอยู่นั้นหากรู้ไหมว่ามีเขาคนหนึ่งที่นั่งแอบฟังอยู่หลังประตูบานนั้นสีหน้าของเขาดูเศร้าสร้อยใบหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดแว่นดำหนาเต๊อะถูกถอดออกดวงตาสีเฮลเซลที่เต็มไปด้วยหยาดน้ำตาที่ล้นออกมาไหลแอบแก้ม
“โคคิก็มาที่นี่อย่างงั้นเหรอพี่ขอโทษนะ...พี่ขอโทษนะที่ปล่อยให้อยู่ตามลำพัง”
เสียงพึมพำออกมาอย่างแผ่วเบาตามด้วยเสียงสะอึ้นที่พยายามไม่ให้ใครได้ยิน
รอก่อนนะสักวัน...
จนกว่าเวลานั้นจะมาถึง...
ความจริงทั้งหมดพวกนายก็คงจะรู้...
รอก่อนนะโคคิพี่อยากเจอนายอีกครั้ง...
To be continued………………………….
ความคิดเห็น