FictionYAOI - [KNB] - Akashi x Furihata >> love sweet blood ที่รักของนายแวมไพร์ [[ Chapter 04 ]]

 Fiction  YAOI 

kuroko no basket 

Akashi x Furihata 

PG

Chapter 04
  

By Yuhey
















Chapter 04

ท้องฟ้ายามรัตติกาลที่มืดสนิทแต่หากถูกประดับตกแต่งด้วยดวงดาวนับหลายล้านดวงแสงระยิบระยับดั่งคริสตัลขนาดเล็กที่ประดับประดาอยู่บนท้องฟ้าสุดลูกหูลูกตาอย่างนี้ ยังไม่พอท้องฟ้าเหล่านี้ก็ไม่ได้อยู่บนท้องฟ้าที่ลอยอยู่ในกาแลกซี่เสมอไปแต่มันยังอยู่ในพื้นน้ำที่ทอประกายแสงสวยงามทำหน้าที่เหมือนกระจกที่สะท้องภาพของดวงดาวบนท้องฟ้ายามค่ำคืนไม่แพ้กันเลย
ซ่าเสียงของลูกคลื่นของทะเลสีนิลกระทบฝั่งชายหาดทรายสีขาวนวลเนียนละเอียดก่อนจะฝากร่างของสิ่งมีชีวิตจิตวิญญาณทั้งสองแล้วกลับลงสู่ทะเลอีกครั้งค่ำคืนที่เงียบสงบและร่างของสิ่งมีชีวิตทั้งสองที่ยังไม่ฟื้นขึ้นมาจากการผ่านประตูของโลกปีศาจแต่หากรู้ไหมว่าสถานที่ที่เขากำลังเผชิญอยู่ไม่ใช่โลกที่พวกเขาอาศัยอยู่แต่เป็นโลกที่มีเพียงแค่ท้องฟ้ายามรัตติกาลและพระจันทร์สองดวงที่อยู่บนฟ้าเท่านั้น ไม่ได้มีตอนเช้าเหมือนที่โลกที่พวกเขาอยู่เลยแม้แต่น้อย หากจะให้พูดถึงสิ่งมีชีวิตก็คงมีแค่ภูตผีปีศาจที่อาศัยอยู่เท่านั้น
“อ..” ร่างสูงเริ่มรู้สึกตัวในขณะที่ร่างบางกำลังไม่ได้สติอยู่ที่ริมชายหาดเปลือกตาที่ปิดสนิทค่อยๆลืมตาตื่น “ที่นี่มัน” เขาตะกายลุกขึ้นมานั่งชันเข่าสภาพเนื้อตัวไม่ต่างอะไรไปกับลูกสุนัขตกน้ำทำให้ความหน้าเกรงขามดุจดั่งพระราชาหายไปเกือบครึ่ง แล้วปรับองศาของดวงตาหันซ้ายแลขวาอย่างฉงนงงพร้อมกลับก้มลงมามองยังร่างบางที่นอนแน่นิ่งอยู่ข้างๆเขา มือเรียวลูบสัมผัสที่เส้นผมนุ่มสลวยดุจแพรไหมสีน้ำตาลเฮเซลนัทอย่างอ่อนโยนอย่างเอ็นดูไม่รู้เพราะว่าเป็นอะไรกันแน่ถึงทำให้เขาต้องทำเช่นนั้นหรือไม่ก็ไม่รู้ว่ามีอะไรมาดลใจให้เขาทำเช่นนี้รึเปล่ากันนะความรู้สึกสับสนที่ไม่รู้ที่มาที่ไปอยู่ในใจขององค์ราชาและไม่น่าจะเกิดขึ้นค่อยๆแทรกซึมเข้าไปในใจทีละนิด และก่อตัวขึ้นอย่างช้าๆ 
“แค่กๆ..แค่กๆ”  เจ้าของเส้มผมนุ่มสลวยสีน้ำตาลสำลักน้ำทะเลออกมาทันทีดูเหมือนว่าเขาเองก็คงจะรู้สึกตัวและได้สติขึ้นมาแล้วอาคาชิรีบชักมือกลับทันทีเมื่อที่ร่างบางลืมตาตื่นขึ้นมาท่าทางอิดโรยอ่อนล้าและอ่อนแรง “อืม..ที่นี่ไหนกัน” ฟุริฮาตะหลังจากที่ลืมตาขึ้นมาครั้งแรกก็มีความรู้สึกที่ไม่ต่างจากอาคาชิที่ตื่นก่อนเขาเท่าไหร่นักก่อนจะเสริมคำพูดที่เด็กหนุ่มแหงนหน้ามองท้องฟ้าแล้วอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ “แต่ว่าสวยมาก” เขาพูดกล่าวทั้งยิ้มไปด้วยความตื่นตาตื่นใจอารมณ์ประมาณเหมือนได้เจอสิ่งแปลกใหม่ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน  “หึ..เจ้าคิดแบบนั้นหรอกเหรอ” อาคาชิพูดขัดทำลายบรรยากาศ เพียงเท่านั้นฟุริฮาตะหันมามองเจ้าของเสียงเขาแทบตกใจจนตัวโยนเลยก็ว่าได้ “เอ๊ะ....!!!!  “อะ..เอ๊ะ!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!”ฟุริฮาตะแสดงอาการหวาดกลัวจนตัวสั่นจนไม่รู้ว่าจะทำหน้ายังไงเมื่อตกอยู่ในสถานการณ์ขับขันแบบนี้ “ข..อุ๊บ..หึหึ” อาคาชิกลั้งหัวเราะอย่างขบขันกับอากัปกิริยาของคนที่นั่งข้างๆเขา
ฟุริฮาตะเห็นดังนั้นก็รีบลุกพรวดขึ้นมาแล้วใส่เกียร์วิ่งอย่างฉับไวเพื่อจะหนีแต่น่าเสียดายที่แวมไพร์หนุ่มนั้นรวดเร็วกว่าฉุดรั้งข้องมือเอาไว้ “เจ้าคิดเหรอว่าจะหนีไปไหนได้..” อาคาชิพูดขึ้นรั้งคนตัวบางก่อนจะหนีเขาไปฟุริฮาตะชะงักและอาการพยศสงบลงทันทีหลังจากที่เพิ่งฉุกคิดได้
มันก็จริงอย่างที่เขาพูดถ้าคิจะหนีก็หนีได้แต่จะหนีไปทางไหนเมื่อไหร่ก็ได้แต่จะหนีไปไหนกันล่ะในเมื่อไม่รู้เลยว่าสถานที่ที่กำลังเหยียบอยู่ตอนนี้คือที่ไหนเผลอๆอาจจะไม่ใช้โลกมนุษย์ก็เป็นได้ดูจากสภาพแวดล้อมแล้วรับประกันได้เลยว่านี่คงเป็นโลกอีกมิติหนึ่งแน่ๆเพราะบนท้องนภามีดวงจันทร์อยู่สองดวงถ้าเกิดซี้ซั้วหนีไปตามลำพังดีไม่ดีอาจจะเจอกับตัวอะไรจับหักคอก็เป็นได้ทางที่ดีแล้วควรอยู่ไกล้เขาไว้จะดีกว่า ฟุริฮาตะคิดไตร่ตรองอยู่เมื่อครู่แล้วทิ้งตัวนั่งลงบนพื้นชายหาด เพียงพริบตาเท่านั้นที่ความเงียบเริ่มเข้าครอบงำทันทีไร้สิ้นเสียงการสทนาวาจาใดที่จะเอื้อนเอ่ยใดๆทั้งสิ้น
...............
“เจ้าเคยได้ยินเกี่ยวกับตำนานจากอีกภพหนึ่งรึเปล่า..” ใบหน้าที่เรียบนิ่งเอ่ยขึ้นทั้งๆที่หันหน้าไปยังทะเลประกายดาวอยู่อย่างนั้น  “เอ๊ะ.”ฟุริฮาตะสดุ้งทุกครั้งที่ได้ยินเสียงของชายหนุ่งร่างโปร่งทรงสง่าของชายชาตรี
“อะ..ขะ..คือว่าไม่ทราบครับ...”  ฟุริฮาตะตอบด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือไม่คงที่ “อย่างงั้นเหรอ.” เขากล่าวขึ้นอีกครั้งด้วยสีหน้าที่ไม่ต่างไปจากเดิมมากนัก ส่วนฟุริฮาตะนั้นกลับไม่พูดอะไรได้แต่ผงกหัวหงึกๆอยู่แบบนั้น
ดูเหมือนจะเป็นเด็กที่ขี้กลัวขี้ตกใจเลยล่ะสินะถ้าเขาจะกำลังมีความรู้สึกหวาดกลัวคนอย่างอาคาชิก็คงเป็นเรื่องธรรมดา แม้แต่เขาเองก็รู้ตัวดีว่าทำอะไรกับเด็กที่เพิ่งกำลังแตกหนุ่มอย่างฟุริฮาตะไปบ้าง
 (ก็แน่ล่ะก็เฮียเล่นไปรุกแบบที่น้องฟุริจังตั้งตัวไม่ทันเองนี่ // โดนกรรไกรเฉาะหัว By Yuhey ) 
เขาจะไม่ถามหรือพูดอะไรต่อจากนี้เพราะถ้าอย่างพูดไปก็ไม่ช่วยให้ความเงียบนั้นดีขึ้นเลยได้แต่ปล่อยให้บรรยากาศเวลาแบบนี้ผ่านไปก็เท่านั้น



................................................................................................................................................................................
ทางฝั่งของอีกด้านของเหล่าเอ็กซอร์ซิสต์ที่ในระหว่างการตามล่าอาคาชิบวกกับตามหาฟุริฮาตะและในระหว่างความชลมุนวุ่นวายเหล่านั้นเองที่ทำให้พวกเขากว่าสิบชีวิตต้องหลุดเข้ามายังดินแดนสนธยาที่ไม่รู้ที่มาที่ไปแห่งนี้ที่ซากคฤหัสถ์เก่าที่หักปรักพังรวมกับที่มีสัญญาลักษณ์ของซาตานที่ติดอยู่บนพื้นขนาดใหญ่สีเลือดตีตราเอาไว้อย่างชัดเจน ร่างของพรรคพวกทั้งหมดที่กำลังหมดสติยังไม่รู้สึกตัว  “เฮ้..พวกนายเป็นอะไรไหม เป็นอะไรไปรึเปล่า”สีหน้าที่บ่งบอกถึงความเป็นห่วงและเอ่ยขึ้นมาเป็นคนแรก ฮิวงะที่เป็นเจ้าของแว่น?รงรีแต่ตอนนี้เครื่องประดับบนใบหน้าแว่นตาเจ้ากรรมได้ขาดหายไปจากใบหน้าของเขาแล้ว  “เฮ้ย..ฮิวงะ” ชายร่างสูงผมน้ำตาลสะกิดฮิวงะไปครู่หนึ่ง “อะไรวะ..คิโยชิ” ฮิวงะชำเลืองจิกตาใส่อย่างหงุดหงิด “ นายหันไปทางไหนของนายกันน่ะฮิวงะนั้นมันต้นไม้นะฉันอยู่ทางขวามือของนายต่างหากเล่า” “หนวกหูน่าคิโยชิ” “แว่นนายหายไปไหนแล้วน่ะ” ทั้งสองคนตอบโดต้กันอย่างเดือดดาด ถึงแม้จะมีเพียงคิโยชิเท่านั้นที่ไม่ได้มีความรู้สึกโกรธแต่กลับรู้สึกสนุกที่ได้แกล้งเพื่อนร่วมงานของตัวเองเสียด้วยซ้ำ  “ทำไมไม่บอกตั้งแต่เล่าไอ้บ้าเอ้ย!!!!!!!!!!!!!!!!!” แถมด้วยฝ่ามือสะท้านสักกะบาลลงป้าบให้หนึ่งทีอย่างน่าหมั่นเขี้ยว 
“เอ่อ...อาจารย์ครับ” ร่างบางที่น่าจะตัวเล็กที่สุดในหมู่เอ็กซอร์ซิสต์ด้วยกันเอ่ยขึ้นหลังจากรู้สึกตัวแล้ว “ไม่ต้องไปห้ามพวกเขาก็ได้ม้าง..คุโรโกะปล่อยไปแบบนั้นไปเถอะ” “ต..แต่ว่า” ร่างสูงผิวสีน้ำผึ้งผมสองสีแดงสลับดำห้ามปรามคนตัวเล็กเอาไว้
บรรยากาศที่กำลังคงดำเนินจากจุดเริ่มต้นไปอย่างช้าแต่หากรู้ไหมใช่ว่าพวกเขาเหล่าจอมเวทย์นักปราบผีอาจจะยังไม่รู้สึกตัวก็เป็นได้  “ท่าทางน่าสนุกจังฉันเองก็อยากไปร่วมวงด้วยคนจังเลยน๊า~” เสียงใสๆซ่อนความซุกซนเหมือนเด็กของร่างบุรุษปริศนาสวมชุดคลุมหน้ากากสีเทาผมสีส้มแกมเหลืองกล่าวด้วยอารมณ์สุดทรีย์ “ฉันคิดว่ามันจะเป็นการไปรบกวนขัดจังหวะพวกเขามากกว่า” คนที่คิดว่าน่าจะไม่อยู่ที่นี่เลยและดูเหมือนว่าเจ้าตัวเองอาจจะจืดจางที่สุดในกลุ่มกล่างเสียงเย็นออกมา “หวา..รุ่นพี่มายุสุมิถ้าจะมาหัดสะกิดหรือให้สุ่มให้เสียงกันบ้างสิครับ” เด็กหนุ่มแทบสะดุ้งตัวโยนหลังจากที่ได้ยินเสียงของร่างสูงเรือนผมสีขาวตามชื่อของตน จิชิโระ มายุสุมิ จิชิโระ*  ที่สวมชุดยูนิฟร์อมแบบเดียวกัน “ถ้าพูดเสียงดังเจ้าพวกนั้นก็รู้ตัวกันพอดีน่ะสิฮายามะ” เจ้าของผมสลวยเกือบจะประบ่าพูดเสริม “นั่นสินะครับเรโอะแหะ..ๆ”  เขายิ้มหัวเราะแหะๆตอบกลับหลังจากที่เพิ่งคิดได้มันก็จริงอย่างที่เรโอะพูด “แล้วก็นายด้วยอย่าเคี้ยวอาหารเสียงดังสิเนบุยะมันน่าเกลียดนะยะจะบอกให้” เรโอะชี้นิ้วนิ่วหน้าพร้อมข่มเสียงเข้าไปตักเตือนอย่างเอือมระอากับท่าทีการกินของร่างสูงล่ำบึกที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อปานจะกินวัวได้ตัวนึงเลยก็ว่าได้ท่ามกลางคฤหัสถ์ซากหักปรักพังที่มีตราของซาตานแล้วนอกจากพวกเหล่าพลนักปราบผีสิบกว่าชีวิตแล้วก็ยังมีพวกเขา???เหล่าสามสหาย(?)ชุดคลุมหน้ากากสีเทาที่แอบสุ่มอยู่ที่พุ่มไม้คอยจับตามองพวกเขาอยู่เงียบๆ
................................................................................................................................................................................
“ที่นี่เป็นโลกสนธยาน่ะ” อาคาชิเอ่ยขึ้นในขณะที่ฟุริฮาตะกำลังนั่งอยู่เฉยๆ “หรือให้เรียกอีกอย่างหนึ่งก็คือโลกของพวกเราโลกของภูติผีปีศาจที่แม้แต่มนุษย์น่าไหนก็หยีบเข้ามาไม่ได้” สีหน้าที่บอกเล่ายังไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมและยังคงทำหน้านิ่งอยู่แบบนั้น “เอ๊ะ...ละแล้วจะกลับโลกเดิมได้ยังไงล่ะ” ฟุริฮาตะลนลานแสดงอาการออกมาเติมที่ที่ไม่ต้องดูแค่วบเดียวก็รู้ว่าวิตกกังวลขนาดไหนเพราะว่าฟุริฮาตะเป็นคนที่เก็บความรู้สึกของตัวเองไม่ค่อยเก่งส่วนมากจะแสดงออกมาทางสีหน้าและการกำทำซะมากว่า..   ช่างแตกต่างกันนัก กับ ที่อีกคนที่ชอบเก็บความรู้สึกและแสดงความรู้สึกอีกมาไม่เก่งไม่แปลกเลยที่จะทำให้อีกฝ่ายสับสนว่าเขากำลังคิดอะไรกันอยู่กันแน่  “เท่าที่ข้าเคยได้ยินมาจากท่านพ่อของข้า..ก็คงจะเป็นดวงตราสัญญาลักษณ์ของซาตาลของปู่ทวดของพ่อข้ากระมัง” อาคาชิหลุบตาลงเล็กน้อยจากที่นั่งชันเข่าก็โน้มตัวลงนอนลงบนที่นอนที่มีฟูกเป็นหาดทรายอุ่นๆที่รองรับไว้อยู่ “ละ..แล้วคุณรู้รึเปล่าว่าเราอยู่ที่ไหนกันน่ะครับ” ฟุริอาตะเข้าโหมดจริงจังพร้อมน้อมหน้าลงมามองจ้องชายหนุ่มตาไม่กระพริบนัยน์ตาใสแจ๋วดั่งลูกกวาดรสช็อกโกแล็ตกำลังสั่นไหวเล็กน้อยจดจ่อรอคำตอบจากริมฝีปากงามๆสีกุหลาบชมพูอยู่ “ดูเหมือนเราจะกระเด็นออกมาในพื้นที่ๆไกลโขมากเลยทีเดียวการที่จะไม่หาประตูจุดเชื่อมกับโลกมนุษย์นี่คงใช้เวลาหลายวันหรือถ้าเปรียบกับเวลาของโลกมนุษย์ก็คงจะสองเดือนเศษได้ล่ะนะข้าเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน” “เอ๊ะ!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!” ความจริงช่างโหดร้ายไม่เคยปราณีชิวาวาตัวน้อยคนนี้เลยซักครั้ง เขาแทบอยากจะร้องไห้เป็นภาษาพม่าอยากจะกรี๊ดเป็นภาษาเยอรมัน แต่มันก็ทำไม่ได้เพราะมันแสดงออกทางสีหน้าไปหมดแล้ว แวบหนึ่งที่ฟุริฮาตะชำเลืองมามองเจ้าของเส้นผมสีบานเย็นที่กำลังนอนมองดาวที่อยู่บนท้องฟ้าอย่างอภิรมณ์สุดทรีย์โดยสีหน้าไม่เป็นไปไหนเลยซักนิด
พระเจ้า  ชิวาวาน้อยขี้กลัว กับ พระราชาปีศาจแวมไพร์หน้าตายต้องอยู่เดินร่วมทางไปด้วยกันรึเนี่ยแต่มันก็กระไรๆอยู่และดีไม่ดีอาจจะถูกทำอะไรต่างๆนาๆแล้วก็ได้และกู้ไม่รู้อาจะถูกรวบหัวรวบหางไปแล้วก็ได้ใครจะไปรู้
เขารีบสลัดความคิดฟุ้งซ่านนี้ออกไปทันทีแล้วพยายามปลอบตัวเองว่าเขาคงจะไม่คิดอะไรที่เป็นอกุศลกับเขาแน่นอน เขาพยายามคิดอย่างงั้น   มันใช่จริงๆเหรอฟุริฮาตะนายคงยังไม่ลืมสินะตอนที่เขาทำอะไรกับนายไปบ้างตอนนอนอยู่บนเตียงในห้องสมุดนั่นน่ะ เพียงไม่ถึงหนึ่งวินาทีภาพเมื่อตอนนั้นก็ฉายขึ้นมาอย่างแจ่มชัดๆยิ่งกว่า HD เป็นล้านเท่า คราวนี้เขาหน้าแดงเถือกไปถึงคอจริงๆแล้วเขากลิ้งไปกลิ้งมาบนพื้นทรายอย่างเขินจัดแล้วไล่อาการฟุ้งซ่านออกไปเป็นพัลวัน  ส่วนอีกคนที่เอาแขนมาหนุนแทนหมอนมองท้องฟ้าก็ได้แต่นิ่งเฉยไม่สนใจคนรอบข้างว่าเป็นยังไง ในห้วงความคิดของเขาเองไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่
(ยกเว้นคนเขียน :v // โดนกรรไกรปักตา)
ท่านแม่ครับ..ตอนนี้จะเป็นอย่างไรกันบ้างนะข้าเหงาจัง..
ร่างสูงคิดในใจแล้วพริ้มหลับตาลงอย่างอ่อนล้า จนกว่าจะรู้สึกตัวอีกทีเขาก็หลับไปราวๆห้าชั่วโมงกว่าๆแล้วถึงต่อให้ตื่นขึ้นมาท้องฟ้าก็ยังคงเหมือนเดิมแต่ก็ยังมีจุดแยกแยะอยู่ว่าตอนนี้คือยามอะไรถ้าให้เปรียบแล้วก็เหมือนตอนเช้าของโลกมนุษย์จะแตกต่างกันตรงที่ว่าท้องฟ้าที่นี่ไม่เปลี่ยนไปไหนเลยยังคงดำเมืดอยู่อย่างนั้นแต่จะมีจุดแตกต่างกันก็คือบนท้องฟ้าไม่มีดวงดาวแต่จะมีเพียงแสงของดวงจันทร์เท่านั้นที่มีแสงสว่างเป็นพิเศษราวกับหลอดไฟขนาดยักษ์ที่ติดอยู่บนท้องฟ้า อย่างไงอย่างงั้น  ร่างโปร่งเอนกายลุกขึ้นมาก่อนจะตรงไปดื่มน้ำที่ทะเล “แค่กๆๆๆๆ” เขาสำลักออกมาทันทีเพราะเพิ่งคิดได้ว่าน้ำทะเลที่โลกสนธยาแห่งนี้เค็มกว่าน้ำทะเลที่โลกภพมนุษย์นั้นเป็นสองเท่าเลยก็ว่าได้อาคาชิเบ้ปากหน้านิ่วเล็กน้อย  สองขาก้าวออกมาจากน้ำทะเลที่เปียกชุ่มรอบขากางเกงจากนั้นเขาก็คุกเข่าโน้มหน้าลงมามองร่างเล็กที่หลับปุ๋ยอยู่อย่างนั้น “ฟุริฮาตะตื่นได้แล้ว” “อืม...”  มือเรียวปอกปัดนิ้วเรียวหนาของใครบางคนออกอย่างไม่สบอารมณ์ที่จะโดนปลุก “ฟุริฮาตะตื่นสิ” อาคาชิข่มเสียงขึ้น แล้วเขย่าตัวร่างบอบบางที่นอนน้ำลายยืดอยู่ “อืม...อ่า..ไม่เอาน่า” ฟุริฮาตะละเมอไม่รู้อะไรเลยเห็นที่ท่านอาคาชิซามะต้องงัดไม้เด็ดการปลุกแบบพิเศษที่มีแต่เขาทำได้เท่านั้น  
ริมฝีปากได้รูปกดลงไปที่ริมฝีปากอ่อนนุ่มอิ่มเอิบของคนตรงหน้านิ้วหัวแม่มือที่ทำหน้าที่บดคลึงริมฝีปากก็หยุดลงพร้อมกับสอดลิ้นเข้าไปในปากเพื่อหยอกเย้ากับลิ้นสีระเรื่อร่างบางกระตุกสั่นน้อยๆแล้วตอบสนองสอดลิ้นกลับไปด้วยอาการที่สะเปะสะปะอย่างไม่ชำนาญ  “ฮึก...อื้อ..” ร่างโปร่งพึงพอใจกับปฏิกิริยาของคนตงหน้ามือเรียวหนาสากๆนิดๆล้วงเข้าไปในสาบเสื้อลูบไล้ผิวหน้าท้องอย่างซุกซน  “ฮือ..มะ..ไม่..เฮ้ย!!!!!!!!!!!!!” ฟุริฮาตะแทบจะจิตหลุดออกจากร่างหลังจากที่รู้สึกตัว เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาเขาถีบร่างสูงออกหางแล้วถอยกรูดออกห่างออกมาในระยะทาง 10 เมตรได้ “จะ...จะจะจะจะจะจะจะจะ..ทำอะไรน่ะครับ!!!” ฟุริฮาตะสะดุ้งตกใจกลัวจากร่างที่เป็นเด็กหนุ่มวัยแรกแย้มวัยสิบหกก็แทบจะได้กลายร่างเป็นหมาน้อชิวาวาที่ขดตัวสั่นงกๆอยู่อย่างนั้น  “เปล่าข้าก็แค่ปลุกเจ้าก็เท่านั้นเอง..” นัยน์ตาทับทิมเสมองไปทางอื่นสักพักแล้วหันมามองฟุริอาตะดังเดิม “อ...” เหมือนมีบางอย่างอุดลำคอเอาไว้คำพูดบางคำที่ฟุริฮาตะอยากจะพูดได้กลืนลงท้องไปนึกว่าจะมีเหตุผลที่ฟังขึ้นแต่นี่กลับกลบเกลื่อนไปเสียดื้อๆคนอย่างผู้ชายคนนี้อันตรายจริงๆ เขาคิดไม่ซื่อกับฟุริฮาตะแน่ๆ  เขาบอกตัวเองในใจ 
เวลาที่เริ่มหมุนไปเรื่อยๆ ถึงแม้ว่าวันนี้จะเป็นวันที่สองแล้วทั้งสองคนก็แทบจะไม่คุยกันเลยไม่สิมองหน้ากันไม่ติดด้วยซ้ำ ช่วงรอจังหวะที่อาคาชิพล้อยหลับงีบไปในชั่วขณะหนึ่ง เอาได้คิดเอาไว้ว่าจะต้องหนีออกจากที่นี่และรวมถึงออกห่างจากคนอย่างเขา ในหัวของฟุริฮาตะสั่งการได้แต่คำว่าหนีอยากหนีไปให้ไกลๆ โดยไม่สนว่าได้วางแผนไว้รึเปล่าหรือระหว่างทางจะเป็นยังไงแล้วยานพหนะทางน้ำล่ะเราจะว่ายน้ำไปน่ะเหรอ  แต่มันไม่สำคัญสำหรับเขาอีกต่อไปความกลัวที่เข้าครอบงำกับการที่คิดจะหนีมันบังตาพร่ามัวไปหมด  ขาเรียวก้าวลงยังพื้นน้ำใสที่ส่องประกายวิบวับท่างการท้องฟ้าในดินแดนสนธยา เขาเดินดำดิ่งลงไปเรื่อยๆจากระดับน้ำที่อยยู่เพียงแค่ช่วงเอวก็ไล่ระดับไปจนถึงช่วงหน้าอก 
“ซ่า..” เสียงสายน้ำที่กระทบเข้าฝั่ง ร่างสูงรู้สึกตัวและสลืมสะลือมองหาร่างเล็ก เพียงแค่เซี้ยววินาทีหนึ่งที่หันไปที่พื้นทะเลสายน้ำเขาเห็นฟุริฮาตะเดินอยู่ด้วยความตกใจและความคิดที่คาดไม่ถึงเลยว่าทำไมฟุริฮาตะกำลังคิดที่จะฆ่าตัวตาย  “เจ้า!!!คิดที่จะทำอะไรกันน่ะฟุริฮาตะ!!!!!!!!!” ร่างโปร่งตะเบ็งเสียงออกมา ฟุริฮาตะไม่สนใจเขาเมินเสียงจากผู้หวังดีแล้วยังคงเดินลงไปจนระดับน้ำขึ้นสูงอยู่ช่วงลำคอของเขา อาคาชิไม่ลังเลที่จะอยู่เฉย ความเร็วที่เหนือมนุษย์ธรรมดาเพียงแค่ใช้เวลาถึงหนึ่งนาทีก็มาถึงที่ๆฟุริฮาตะยืนอยู่ อาคาชิรั้งมือเอาไว้แต่ฟุริฮาตะก็ยังดื้อดึงที่จะสะบัดออกเขาคิดว่า คนอย่างเขาต้องมาสามารถขัดคออาคาชิได้แน่นอนถ้าอยู่ต่อหน้า “ได้โปรดปล่อยผมเถอะครับผมจะหาวิธีกับโลกเดิมที่ผมอาศัยอยู่” “เจ้านี่ช่างไม่ดูตัวเองจริงๆตามลำพังแค่นี้เจ้าคิดว่าเจ้าทำอะไรได้ถ้าโดยไม่มีข้าไปด้วยก็มีแต่เจ้าจะตายเปล่า”  “แต่ว่า..” “ข้าก็บอกเจ้าไปแล้วไม่ใช่รึไงว่าที่นี่เป็นโลกของปีศาจอย่างพวกข้าสำหรับเจ้าแล้วมาเป็นสถานที่ๆอันตรายยังไงซะเจ้าก็ต้องรีบขึ้นมาก่อนไม่แน่พวกมันอาจจะกำลังหลบอยู่ใต้น้ำก็เป็นได้” อาคาชิพูดด้วยน้ำเสียงติดกังวลและฟุริฮาตะเองที่กำลังจะพูดขึ้นก็ต้องโดนแทรกแล้วกลืนคำพูดลงคอ 
“เอ๊ะ..พวกมัน?” คิ้วเรียวขหมวดเข้าหากันแล้วหันมามองหน้านิ่ง “ ไซเรน ยังไงล่ะ” คำตอบที่น่าจะทำให้เขาเข้าใจแต่ก็ยิ่งสร้างคำถามในหัวของเขาเพิ่มขึ้นมาอีกข้อ “คุณพูดอะไรมันไซเรนมันคืออะ..” 
“ตูม...”  “หึหึหึ” ร่างของหญิงสาวสวยผิวกายขาวนวลเนียนดุจไข่มุกในท้องทะเลริมฝีปากสีแดงชาดลิ้นสีระเรื่อกำลังเลียริมฝีปากอย่างกระหาย เหยื่ออาหาร พร้อมกับท่อนร่างที่มีลักษณะเป็นดั่งมัจฉาขนาดใหญ่สีนิลพุ่งพรวดกระชากกดลากดึงร่างทั้งสองจมลงสู่ทะเลหายไป  “ชิ ทำไมคนอย่างข้าต้องโนไซเรนชั้นต่ำจับมาด้วยกันนะ” อาคาชิที่ปราศจากพรรคพวกถึงแม้ว่าเขาจะเก่งขนาดไหนเนื่องจากเสียเปรียบศัตรูก็ตรงที่จำนวนศัตรูที่เยอะกว่าและอยู่ในน้ำอีกต่างหาก
“อึกไม่....ยะ...อึก..ต” ฟุริฮาตะที่กำลังดิ้นรนจากการโดนวงล้อมของไรเซน พันธนาการเอาไว้
ไม่นานนักสติที่กำลังพร่าเลือนของเด็กหนุ่มค่อยๆดับวูบลงไป ส่วนอาคาชิที่กำลังใช้หัวคิดหนทางการหลุดพ้นจากวงล้อมของไซเรนถ้าหากขืนปล่อยไว้แบบนี้มีหวังคงได้เหลือแต่กระดูกแน่ๆ
คิดสิอาคาชิเจ้าเป็นว่าที่ราชาปีศาจผู้ยิ่งใหญ่ที่สืบทอดมาจากบุตรแห่งซาตานเลยนะ  เสียงที่ดังก้องอยู่ในหัวของเขาเสียงจากจิตสำนึกใต้จิตใจกำลังกล่อมให้เขาฮึกเหิมมากขึ้น  “ใช่ข้าคือราชาแวมไพร์ปีศาจคนต่อไป..”  สิ้นเสียงที่พูดออกไป อาคาชิเค้นพลังทั้งหมดออกมา ปีกค้างคาวขนาดใหญ่สีทมิฬที่กระพือออก ดวงตาสีทับทิมข้างซ้ายที่ผันเปลี่ยนเป็นสีทองอำพัน กรงเล็บที่แหลมคำสีดำ มือเรียวที่ดูเหมือนไม่มีเรี่ยวแรงได้จ้วงทะลุร่างของไซเรนบดขยี้หัวใจให้แหลกละเอียด ตัวแล้วตัวเล่าที่พวกนางมัจฉา ไซเรน ที่เป็นนางเงือกที่ดุร้ายคอยพุ่งกระโจนเข้ามาเพื่อที่หวังจะจัดกิน แต่ก็โดนฆ่าตายในลักษณะเดียวกัน
“ฟุ.....  ... ..ตะ !!!!!!???” ร่างบางที่ไร้สติและกำลังจะจมลงสู่ก้นมหาสมุทรไซเรนนางหนึ่งที่กำลังแยกเขี้ยวอ้าปากหวังจะกัดกินฟุริฮาตะที่เป็นดั่งอาหารอันโอชะของตน อาคาชิใช้ฝ่าเท้าเตะนางออกไปแล้วโอบกอดร่างที่ขาดสติไม่รู้อะไรเอาไว้ ทำให้เขาต่อสู้ได้อยางลำบากมากขึ้น อาคาชิกัดฟันแน่น พยายามอดกลั้นไม่ให้ตนเองขาดสติ ร่างโปร่งเอี้ยวหลบการโจมตีของไรเซนไปมาพลางใช้ความคิดวิธีการจักการเหล่าพวกหล่อนปีศาจนางเงือกทั้งหลายแวบแรกที่พวกนางน่าตาสะสวยแต่เบื้องหลังกับเป็นเพียงแค่สัตว์ดูร้ายมันก็ดูไม่ต่างจากสัตว์เดรัจฉานอย่างปลาฉลามและปลาปิรันย่าที่โลกภพมนุษย์นักหรอก  เขาใช้ความคิดไหวพริบและศิลปะการต่อสู้บวกสัญชาติญาณของนักล่าเหยื่อที่ถอดแบบออกมาจากพ่อของตนเองอย่างดี
 เล็บที่มีลักษณะแหลมเหมือนนกอินทรีย์และเป็นผังพืดเหมือนกบกระชากเหวี่ยงอาคาชิ ให้เสียการทรงตัวในน้ำ พร้อมกับเหล่าจ่าฝูงร่วมแรงสมัคคีแห่กันมากัดกินร่างทั้งสองอาคาชิทำสีหน้าเคร่งเครียดสายตาคมกวาดมองหาอาวุธที่สามารถปัดป้องกันตัวเองให้อออกจากท่ามกลางนางไรเซน
ในที่สุดโชคชะตาก็เข้าข้างเขามีขอนไม้ขนาดใหญ่ที่มีเหล่าเม่นทะเลเกาะแก่งติดอยู่เป็นพุ่มเขารีบคว้ามันมาแล้วฟาดกระหน่ำไปอย่างบ้าคลั่ง พร้อมกับกลิ้งแทรงตัวฝ่าออกมาจากวงล้อมได้สำเร็จ เขาพาตัวเองและร่างบางที่เขาโอบกอดเอาไว้ในอ้อมแขนว่ายน้ำขึ้นฝั่งไปอย่างรวดเร็วในขณะเดียวกันที่สติของเขาเองก็เริ่มพร่าเลือนลงทุกทีเพราะแรงดันน้ำที่เพิ่มขึ้นความกดอากาสต่ำในใต้ทะเลสุดหฤโหดและในร่างกายเริ่มขาดออกซิเจนไปบ้างล้วทำให้การว่ายน้ำชะลอช้าลงตามมาติดๆกับฝูงเงือกสับประหลาดที่ว่ายตามมาติดๆ ขาข้างหนึ่งที่โดนกระชากลากดึงด้วยมือเหนียวของไซเรนเขาก้สะบัดออกเป็นพัลวัน ซึ่งแนนอนว่าเป็นไปได้อยากที่จะรอดชีวิต อีกคนที่กำลังเริ่มชักจะไม่ไหวและอีกคนที่กำลังจะตาย ทางที่จะรอดนั้นมันแทบเป็นไปไม่ได้เลย โอกาสที่จะเป็นไปได้ก็มีเพียงแค่หนึ่งเปอร์เซ็นเท่านั้น 
ข้าไม่ยอมตายอยู่ตรงนี้หรอก..กะอีแค่สัตว์ชั้นต่ำแค่ได้เปรียบข้านิดเดียวอย่ามาทำเป็นได้ใจไปเลยหน่อยน่า 
เขาพูดในใจ ปีกค้าวคาวสีทมิฬกระพือออกจากสองปีกก็เพิ่มขึ้นอีกสองเป็นสี่ปีกเรียบพาตัวเองพุ่งทะยานขึ้นลอยสองเหนือผิวน้ำแล้วบินแบขึ้นให้สูงขึ้น อาคาชิพาตัวของเขาเองพร้อมกับฟุริฮาตะที่อยู่ในออ้มกอดของตนเองเป็นเข้ากลีบเมฆไป  เขาบินไปเรื่อยอย่างไร้จุดหมายจดสติที่พร่าเลือนภาพตรงหน้าเบลอลงเรื่อยแล้วดับวูบไป ทำให้เขาและร่างในอ้อมกอดร่วงลงสู่พื้นธรณีในสถานที่ๆเป็นป่าเขียวชะอุม ข้างรำธารสีชมพูที่ไหลลงมาจากน้ำตก 

“แค่กๆๆ” ร่างบางที่เสื้อผ้าขาดเวิ่นจนแทบไม่เหลือเค้าเดิมของชุดเครื่องแบบเอ็กซอร์ซิสต์เลยแม้แต่น้อยสำลักน้ำออกมาสติที่เริ่มกับมาอยู่ครบกับลำตัว ดวงตาสีผลเฮเซลนัทกวาดสายตามองแวดล้อมโดยรอบต้นไม้ที่มีรูปทรงแปลกประหลาดสีม่วงบางต้นก็เป็นสีน้ำเงินมันมีหลากหลายซะจนแปลกใจราวกับจะหลุดไปดาวอังคารนี่ใช่โลกแน่เหรอ?เขาแอบคิดในใจด้วยความขบขันเล็กน้อย เขาเดินไปรอบๆบริเวณริมธารน้ำตกแล้วเขาก็ต้องหยุดกึกฝ่าเท้าทั้งสองหยุดเดินไปชั่วขณะ ฟุริฮาตะสังเกตเห็นมือสีซีดยื่นออกมาจากพุ่มไม้ เขากระเดือกน้ำลายอึกใหญ่ลงคอทันทียอมแพ้ต่อความอยากรู้ของตน มือเรียวค่อยแหวกพุ่มไม้สีส้มออกช้าๆ แล้วความสงสัยก็กระจ่างเขาพบเฉลยแล้ว..เรือนผมสีบานเย็นร่างโปร่งที่มีสภาพที่ไม่ต้องเดาก็รู้ได้ว่าผ่านอะไรมาก่อนหน้านี้ ร่างทั้งร่างอยู่ในลักษณะนอนคว่ำเสียงหายใจรอยรินที่เป็นสัญญาณบอกว่าเขายังมีชีวิตอยู่ฟุริฮาตะใจชื้นขึ้นทันทีเขาในตอนนี้มีความรู้สึกโล่งอกมากว่าที่จะกลัวเขาในตอนนี้ 
ไม่รอช้าที่ฟุริฮาตะเอนกายดึงอาคาชิให้ลุกขึ้นแล้วเอาแขนข้างใดข้างหนึ่งของเขามาพาดบ่าตัวเองเอาไว้
เมื่อพาร่างสมส่วนอกมาจากพุ่มไม้ได้สำเร็จเขารีบพลิกตัวอาคาชิให้หงายขึ้นเพื่อดูอาการ 
เสื้อผ้าที่ขาดรุ่งริ่งไม่ต่างจากผ้าขี้ริ้วที่ไม่ใช้แล้ว รอยฟันของไรเซนพร้อมรอยข่วนขนาดใหญ่ที่กลางหน้าออกรวมทั้งบาดแผลเล็กน้อยใหญ่ตื้นลึกและแผลฉกรรจ์ตามร่างกายรวมกับกิ่งไม้เศษเล็กเศษใหญ่ที่บักตามร่างกายเช่นกัน 
“อาการหนักมากเลยถ้าไม่รีบทำอะไรล่ะก็....ไม่ได้ๆนะฟุริฮาตะนายต้องตั้งสติๆ”  เขาพูดกับตัวเองเบาๆพร้อมกับหยิกหน้าตัวเองเบาๆ  “แต่ไม่รู้ว่าจะได้ผลรึเปล่ากันนะอีกอย่างเวทย์ที่ใช้ในการรักษาฟื้นฟูบาดแผลเราก็ยังทำไม่สำเร็จอยู่ดี ถ้าทำสำเร็จก็ดีแต่ถ้าล้มเหลวคืออาจจะถึงตายเป็นการฆ่าคนทางอ้อม” ฟุริอาตะที่กำลังกลุ้มใจอย่างหนักอีกทั้งยังลังเลไม่รู้จะทำยังไงดี
ถ้าไม่ลองทำดูก็คงไม่รู้หรอกว่าผลจะออกมาเป็นเช่นไร
แวบแรกที่ฟุริฮาตะนึกถึงคำพูดของพี่ชายที่พูดกับเขาในสมัยเด็กมันทำให้เขามีความมั่นใจขึ้นมาทันที มือเรียวแตะอยู่บริเวณกลางหน้าผาก
ปากที่เริ่มขยับท่องร่ายมนต์คาถา สมาธิทั้งหมดรวมอยู่ในจุดๆเดียวกัน ในทันใดนั้นเองที่แสงสีส้มอ่อนๆที่ถูกปล่อยออกมาจากกระแสจิต แสงที่ส่องสว่างพลิ้วสไหวไปมาเหมือนเปลวเทียน ไหวเวียนเข้าสู่ทุกอนูของร่างกาย บาดแผลที่ผ่านศึกมามาดๆค่อยสมานตัวเองให้เป็นปกติอย่างรวดเร็วจนในที่สุดแล้วบาดแผลทั้งหมดที่มีอยู่ตามร่างกายได้มลายหาดหายไปราวกับไม่เคยมีบาดแผลมาก่อนเลยด้วยซ้ำ
“ค่อยยังชั่วหน่อย..นะ”  ฟุริฮาตะถอนหายใจอย่างโล่งอกเหมือนได้ยกภูเขาสิบลูกออกจากอก ใบหน้าจิ้มลิ้มยิ้มน้อยยิ้มใหญ่มือเรียวลูบสัมผัสเส้นผมสีบานเย็นที่นุ่มสลวยดุจแพรไหมอย่างหน้าเอ็นดู “ขอบคุณที่ช่วยผมเอาไว้นะครับ” เขากล่าวพร้อมรอยยิ้มโดยที่อีกฝ่ายกำลังนอนซมยังไม่รู้สึกตัวเลยสักนิดเลย 
ลมเย็นอ่อนที่พัดผ่านร่างที่เย็นเฉียบเหมือนศพและในขณะเดียวกันที่อีกร่างนั้นมีความอบอุ่นที่แสดงให้เห็นว่าเป็นมนุษย์สัตว์เลือดอุ่นที่ไหลเวียนอยู่ในกายอยู่
ข้างๆริมรำธารสีชมพูที่ใสแจ๋วต้นไม้หลากสีสันทั้งเจ็ดสีราวกับสีรุ้งท้องฟ้าสีม่วงก้อนเมฆสีชมพูเหมือนสายไหมที่ล่องลอยอยู่บนฟ้า ร่างทั้งสองที่นอนอยู่ ณ ที่แห่งนั้งเอง ป่าสีรุ้งเจ็ดสี 

ท่านแม่ครับอย่าทิ้งผมไป...พาผมไปด้วย    พ่อครับอย่าทำอะไรแม่เลยนะครับไม่ได้นะได้โปรดอย่าฆ่าแม่นะ 
พ่อครับไม่นะอย่าทำผมไม่..เอาผมกลัว..อย่า 
ท่ามกลางคฤหัสถ์ที่มีสายตาของเหล่าขุนนางรวมถึงแขกที่มาจากแดนไกลจัดจ้องหันมามองเด็กชายตัวเล็กทที่มีเรือนผมสีบานเย็น  “ต๊าย..เธอดูสิดูเด็กนั่นสิช่างน่ารังเกียจเสียจริงว่าไหม” “ เด็กที่เกิดจากปีศาจและมนุษย์น่ะเหรอเธอช่างไม่สมบูรณ์เสียจริง” หญิงสาวเผ่าหมาป่าพูดกระซิบกระซาบเสียงดังจงใจให้เจ้าตัวได้เย็น
“ฮ่า..ๆๆๆๆๆว่าไงไอ้ลูกครึ่งแกคิดจะสู้รึไง” เด็กหัวโจกในสายชั้นยิ้มเย้ยหยันหาเรื่องเขา
“เพี๊ย!!!  “แกมันแปดเปื้อนแกทำให้ชื่อเสียงของข้าแปดเปื้อนออกไปจากชีวิตของข้าซะ!!!
“พ่อครับ...”  เด็กหนุ่มอ้อนวอนขอให้พ่อนั้นอภัยให้ตนเองถึงแม้จะมีปนด้อยทางสายเลือดแต่ก็ไม่นึกว่ามันจะบานปลายถึงเพียงนี้
“เลือด..ๆๆ อา..ข้าต้องการอีก” เมื่อเป็นลูกครึ่งแวมไพร์แล้วสายเลือดของแวมไพร์นั้นก็ย่อมจะออกฤทธิ์เป็นเรื่องธรรมดาตั้งแต่ไหนแต่ไรที่เขามาเยือนที่โลกมนุษย์ก็เอาแต่หลอกล่อไล่ล่าหาเหยื่อมาสูบดูดกินเลือดอย่างบ้าคลั่งโดยไม่รู้จักอิ่ม

ข้าต้องการเลือดข้าต้องการเลือด  หึหึ   
อาคาชิที่จมปลักอยู่ในความทรงจำอันวกวนสบสันวุ่นวายครั้งเยาว์วัยของตนทุกครั้งที่หลับตา ได้ถูกสัญชาติญาณของแวมไพรปลุกขึ้นมาอีกครั้ง
ร่างโปร่งลืมตาขึ้นมาแววตาของมนุษย์ได้เปลี่ยนผันไปเป็นแววตาของสัตว์ป่านัยน์ตาสีทับทิมข้างซ้ายเปลี่ยนผันเป็นสีทองอำพันปากสีชาดรูปกระจับแสยะยิ้มร้าย ร่างโปร่งตะกายลุกขึ้นมาสีหน้าบ่งบอกถึงความกระหายเลือดเต็มที่

“ฮืม..ๆ” ฟุริฮาตะฮัมเพลงอย่างรื่มรมณ์อารมณ์ดีกับที่ตนเองนั้นกำลังอาบน้ำชำระร่างกายของตัวเองอยู่ที่รำธารอยู่ นั้นเอง มือซีดที่กำลังยื่นออกมาขยับเข้ามาหาเขาเลื่อยๆ
!!!!เอ๊ะตื่นแล้วเหรอครับ”  เด็กหนุ่มไร้เดียงสาถามด้วยหน้าซื่อโดยไม่รู้จิตใจประสงค์ร้ายของคนตรงหน้า มือที่ซีดขาวเผือกโอบที่เอวบางทางด้านหลัง ใบหน้าคมคายซุกไซร้อยู่ที่ซอกคอ
“อื้อ...จะทำอะไรน่ะครับ”  ฟุริฮาตะหน้าแดงเถือกไปถึงใบหูเมื่อถูกลิ้นอุ่นๆของใครบางคนโลมเลียที่กกหูไล่ระดับลงมายังต้นคอก่อนจะขบเม้มเบาๆ อาคาชิแยกเขี้ยวออกมาเพื่อเตรียมพร้อมที่จะดูดเลือดฟุริฮาตะ ฟันแหลมกดแทรกทะลุเนื้อหนังคลำหาเส้นเลือดใหญ่
“เฮือก!!!ไม่นะ!!!!!!  ฟุริฮาตะร้องเสียงหลงผลักร่างโปร่งให้เซถลาล้มลงกับพื้นน้ำ เลือดที่ไหลชิบออกมาจากปากแผลเพียงแค่เอามือไปสัมผัสก็ได้รับรู้ถึงกลิ่นคาวเลือดที่คละคลุ้งออกมา
“ข้าต้องการเลือด..” ยังไม่พอที่จะได้ถามอะไรอาคาชิกระโจนเข้ากดฟุริฮาตะเอาไว้ ไม่ให้ดิ้นหนี เขี้ยวสองคมแยกออกมากดที่ต้นคอแล้วพยายามจะดูดเลือดแต่ฟุริฮาตะก็ยังดันทุรังที่จะเลี่ยงตนเองไม่ให้ถูกดูดเลือด  “ได้โปรดหยุดเถอะครับ!!” ฟุริฮาตะขอร้องให้อาคาชิที่กำลังบ้าคลั่งดั่งคลื่นมรสุมให้หยุดแต่ก็ไร้ผล เขาใช้กำลังทั้งหมดขึงพุริฮาตะเอาไว้กับโขดหินกลางลำธาร “ขอร้องล่ะทำไมจู่ๆคุณถึงได้กลายเป็นแบบนี้กลับมาเป็นคุณคนเดิมเถอะนะครับได้โปรดเถอะ”  อดีนอร์ลีนที่หลั่งเข้าสมองอย่างรวดเร็วความกลัวที่พุ่งพรวดเข้ามายังสมองสั่งการออกไปอย่างรวดเร็วมันคงป็นการยากที่จะควบคุมให้สงบสติอารมณืได้ขอบตาของเขาเริ่มร้อนผ่าวก่อนจะหลั่งไหลออกมาเป็นเม็ดน้ำตาอย่างห้ามไม่อยู่ร่างกายที่กระตุกสั่นอย่างรุนแรงซึ่งเป็นผลจากสารอดีนอร์ลีนเข้าสู่สมองฟุริฮาตะดิ้นทุรนทุลายทั้งทุบตีถีบเตะคนตรงหน้าก็ยังไม่ออกไป “ ขอร้องล่ะครับอย่าทำอะไรผมเลยผมกลัว..” น้ำเสียงปนสะอึ้นที่เล็ดรอดออกมาอย่างแผ่วเบา นัยน์ตาสองสีที่สะท้อนภาพตรงหน้าแววตาดุร้ายเริ่มสงบลงเขาลดมือคลายออกแล้วลุกถอยห่างออกมา
เมื่อเริ่มได้สติกลับมาแล้วเขาเองก็คงไม่ต้องเดาเลยว่าระหว่างที่เขาไม่สามารถควบคุมสัญชาติญาณของตนเองได้นั้นเขาได้ทำอะไรกับฟุริฮาตะไว้บ้าง “ข้าขอโทษ..” อาคาชิกล่าวสั้นๆและพูดออกมาด้วยความรู้สึกผิด ขายาวเดินออกห่างอย่างช้าพร้อมกับหยุดอยู่บริเวณโคนต้นโอ๊กแล้วทิ้งตัวหลังเอนพิงกับต้นไม้  “เมื่อกี้นี้คุณเป็นอะไรเหรอครับ คุณ..เอ่อ”  “อาคาชิ ข้า อาคาชิ  เซย์จูโร่”  “เอ่อคุณอาคาชิ”  “ อึก..” เขาแทบสะดุดความคิดของตนเอง คนที่คิดว่าน่าจะอาบน้ำอยู่ที่ลำธารในตอนนี้กลับโผล่พ้นขึ้นมายืนอยู่ตรงหน้าเขาเสียแล้วซ้ำร้ายกว่านั้นฟุริฮาตะสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวแถมไม่ติดกระดุมเลยสักเม็ดทำให้เห็นผิวนวลเนียนละเอียดน่าสัมผัสพร้อมกับยอดอกสีระเรื่อที่เห็นได้ชัด แต่ก็ยังดีที่เขาสวมกางเกงเรียบร้อยดีแล้ว  “อย่าเข้ามาไกล้ข้าจะดีกว่าฟุริฮาตะ” เมื่อเห็นว่าฟุริฮาตะเดินเข้ามาไกล้ตนเองก็ขยับหนีออกมาเล็กน้อยเขาหันหน้าเชิดขึ้นไปทางอื่นแก้นสีซีดทั้งสองข้างแอบขึ้นสีระเรื่อไปด้วย “เอ๊ะ..ทำไมล่ะครับคุณอาคาชิเป็นอะไรไปเหรอ” ฟุริฮาตะยิ่งขยับเข้าไปไกล้อีก แต่เขาก็ขยับเข้าไปอีก ฟุริฮาตะแอบเผลอคิดไปว่าอาคาชิก็แอบมีมุมน่ารักเหมือนกันทั้งที่ปกติก็เงียบขร฿กทำสีหน้าตายด้านตลอด คราวนี้ฟุริฮาตะไม่เพียงแค่ขยับเข้าไปไกล้แต่ยังโน้มหน้าหันมาสบตาคนตรงหน้าทันที  “หืม..” อาคาชิเริ่มสะกิดใจแล้วว่าตนกำลังถูกปั่นหัวอยู่ มุนปากกระตุกขึ้นเล็กน้อยเขาพยายามแกล้งกลับด้วยการชิงหอมแก้มฟอดใหญ่ๆเข้าที่ข้างขวาชนิดที่ฟุริฮาตะก็ยังต้องตัวไม่ทัน ร่างบางยืนแข็งทื่อเป็นหิน อาคาชิแอบกลั้นหัวเราะเสียงคิกคักอยู่เบาๆพึงพอใจกลับปฏิกิริยาของชิวาวาน้อยตรงหน้าที่หน้าแดงแปรีดเป็นลูกมะเขือเทศหมดแล้ว
“เจ้าผิดเองที่บังอาจมายั่วอารมณ์ข้าฟุริฮาตะ”  เอ๊ะ!!!!!!!!!!!!!!!!!ขี้โกงกันนี่นา” ฟุริฮาตะที่เพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองจะถูกแกล้งคืนแบบนี้ ทำให้มือหนาวเท้าสั่นไปหมดทั้งตัวทันที ฟุริฮาตะเข้าโหมดลูกสุนัขขี้กลัวชิวาวาน้อยที่กำลังเผชิญหน้ากับราชสีห์ในทันที

“ดูเหมือนจะเป็นป่าสายรุ้งสินะ “ อาคาชิพึมพำเบาๆ  “เอ๊ะ???” ฟุริอาตะทำหน้างงกับศัพท์แปลกที่อาคาชิโพล่งขึ้นมาอย่างแผ่วเบา แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนักสักพักความเงียบก็เข้าปกคลุมมาสักพักไม่มีเสียงบทคุยสนทนาใดๆทั้งสิ้นจะมีก็เพียงแต่เสียงน้ำตกที่ไม่รู่ว่าจะหยุดเมื่อไหร่ดังอย่างต่อเนื่องไม่มีท่าทีจะหยุด แต่แล้วก็มีเสียงคำรามปริศนาคำรามขึ้นมา
“โครก~~~~~”เสียงประท้วงจากกระเพาะอาหารของใครบางคนดังขึ้น  “แหะ.แหะๆ” เขาหัวเราะแห้งๆเพื่อกลบเกลื่อนความอายแต่ก็แสดงออกทางสีหน้าออกมาชัดเจน “แบบว่าตั้งแต่มาที่นี่ผมยังไม่ได้กินอะไรเลยน่ะครับ” อาคาชิไม่พูดอะไรแต่พยักหน้าฟังอย่างแผ่วเบาโดยที่สีหน้าก็ยังคงไม่เปลี่ยนไปจากเดิม “งั้นผมไปเก็บอะไรมากินก่อนนะครับเผื่อมีอะไรกินได้บ้าง” พูดพร้อมทั้งลุกขึ้นแล้วเดินหายลิบเข้าไปในป่า ผ่านไปสิบนาทีฟุริฮาตะก็เดินออกมาในสภาพที่สะบบสะบอมเหมือนเพิ่งผ่านข้าศึกมา “เอาล่ะงั้นล้างให้ละอาดก่อนดีกว่า”  ฟุริฮาตะเริ่มก่อกองไฟโยใช้เวทย์ก่อกองไฟแล้วนำเห็ดที่มีรูทรงแปลกที่เขาคิว่าน่าจะกินได้เอาลงไปปิ้งอย่างภาคภูมิใจ เมื่อสุกได้ที่แล้วเขาก็ยื่นเห็ดปิ้งส่งให้อาคาชิ “ข้าไม่สามารถกินอะไรได้นอกจากเลือดเท่านั้น” อาคาชิปฏิเสธหน้าตายแถมยังปัดทิ้งไปด้วยซ้ำทำให้ฟุริฮาตะหน้ามุ่ยเล็กน้อยทำงอนแก้มป่องแล้วกัดกินเข้าปากไป  เพียงแค่สองคำแรกที่ฟุริฮาตะกัดเข้าไปเขาสำลักไอแค่กๆไม่หยุด  ภาพตรงหน้าเขาเบลอและบิดเบี้ยวไปหมด  “ตุบ..” ร่างบางหมดสติล้อมลงกับพื้นหญ้า 
“ฟุริฮาตะ!!!!!!!!!!!
อาคชิเบิกตาโพล้งในใจเขาไม่นึกไม่ฝันว่าาฟุริฮาตะจะสลบไปแบบนี้  พลันที่สายตาเหลือบเห็นเห็ดที่ฟุริฮาตะพึ่งทานเข้าไป เห็ดรูปทรงประหลาดหลากสีสันเป็นแถบเหมือนสายรุ้งพร้อมกับบางส่วนทางด้านข้างเห็นมันงอกออกมาคล้ายๆเขาของยักษ์ 

“บ้าจริงทำไมมันต้องเป็นเห็ดที่มีพิษมากลุดในป่าสายรุ้งด้วย ฟุริฮาตะเจ้าอย่าเป็นอะไรไปนะ ฟุริฮาตะ!!!!!!!  อาคาชิกัดฟันกรอดพร้อมคิดหาวิธีหนทางการถอนพิษให้เขา



To be continued…………………………. 




// เอิ่มชักจะแต่งฟิคออกทะเลแล้วแหะ   ช่วงนี้งานยุ่งมากเลยเพราะเปิดเทอมมางานก็เยอะเข่ามาเหมือนลมมรสมุม แต่ก็ยังทยอยแต่งฟิคออกมาเน้อ     

BY Yuhey

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Tokyo Ghoul Fiction yaoi tsukiyama x kaneki [สุนัขกระหายเนื้อ]

FictionYAOI [ Tokyo Ghoul ] >> Tsukiyama shuu X Kaneki ken - อาหารจานโปรด

[KNB YAOI] >>Fiction hiyoshi x hyuga >> ใต้กรอบแว่น